ชื่อของ "กิตติ ดำเนินชาญวนิชย์" เงียบหายไป หลังจากต้องคดีรุกป่าสงวนที่สร้างชื่อ
"พล.ต.อ. ประทิน สันติประภพ" จนโด่งดัง ส่วนตัวกิตติเองก็ประกาศว่าจะไปปักหลักที่จีนแทน
แต่ฝันนี้ก็ไม่เป็นจริงอีก จนในที่สุดเขากลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ล้างภาพสวนป่ากิตติ
กลายเป็น "แอ๊ดวานซ์ อะโกร" นำบริษัทเข้าตลาดหุ้น อาณาจักรของเขาใหญ่ขึ้น
มั่นคงยิ่งขึ้น แต่ตัวกิตติตัดสินใจทำตัวเงียบยิ่งกว่าเดิม
หลังเหตุการณ์เมื่อต้นปี 2533 ที่ช็อกวงการธุรกิจ ใครๆ ต่างก็คิดว่า "กิตติ
ดำเนินชาญวนิชย์" คงจบแล้วสำหรับกิจการสวนป่ายูคาลิปตัส และธุรกิจเกี่ยวเนื่องจากสวนป่าแห่งนี้ในเมืองไทย
ขณะที่กิตติเองประกาศกร้าวที่จะย้ายความฝันนี้ไปจากเมืองไทย ซึ่งเป้าหมายแห่งใหม่ย่อมอยู่ที่ประเทศจีน
แต่ทุกอย่างมิใช่จะได้มาโดยง่าย แผนงานการลงทุนในจีนไม่เป็นไปตามที่กิตติคาดหวัง
เพราะเอาเข้าจริงดูจะมีแต่ปัญหาและอุปสรรคมากมาย
หรือเมื่อถามไถ่ผู้บริหารที่ร่วมทีมงานของกิตติ คำตอบที่ได้มีเพียงว่า ที่ดินที่ทางรัฐบาลท้องถิ่นของจีนจะหามาให้ยังมีปัญหาและไม่เหมาะสม
ทำให้โครงการล่าช้าออกไป แต่ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการต่อไป ไม่ถึงกับล้มโครงการในจีนเสียทีเดียว
แต่ว่ากันว่าที่ดินที่ได้มา ที่เข้าใจว่าเป็นที่ดินผืนงามสำหรับการทำสวนป่านั้น
เป็นที่รกร้างว่างเปล่าก็จริง แต่ยากลำบากต่อการเพาะปลูก เพราะมีลมมรสุมพัดผ่านอย่างรุนแรงตลอดปี
แผนงานที่วางไว้จึงต้องยุติเพียงแค่นั้น
ไม่ว่าโครงการในจีนจะเดินหน้ารวดเร็วหรืออืดอาดล่าช้าออกไป ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญสำหรับกิตติเสียแล้ว
เพราะวันนี้ โครงการความฝันที่แท้จริงของเขา ได้เดินเครื่องอย่างคล่องตัวสะดวกสบาย
ผิดหูผิดตาจากอดีตเมื่อราว 5 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง
หลังเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น กิตติเก็บรับบทเรียนมากมาย จนที่สุดทุกอย่างได้รับการพิสูจน์แล้วระดับหนึ่ง
การกลับมาครั้งใหม่นี้ จึงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง และความตั้งใจที่จะลบภาพพจน์เก่าออกไป
ที่สำคัญ จังหวะก้าวครั้งใหม่นี้ดูจะสร้างความยิ่งใหญ่ได้ไม่ยากเย็นนัก
ว่าไปแล้ว สุรางค์ ดำเนินชาญวนิชย์ ภรรยาของกิตตินี่เองที่เป็นผู้ริเริ่มและจุดประกายขึ้นเมื่อปี
2526 ด้วยการกว้านซื้อที่ดินหลายหมื่นไร่ จากนั้นจึงลงทุนปลูกไม้โตเร็ว ป่ายูคาลิปตัส
ในขั้นแรกเพียงเพื่อที่จะเป็นชิ้นไม้สับส่งขายให้กับญี่ปุ่นเท่านั้น
แต่โครงการนี้สุรางค์ ไม่สามารถดูแลได้จนตลอด เมื่อล้มป่วยลง จนที่สุดกิตติต้องเข้ามาดูแลกิจการ
ซึ่งถือเป็นธุรกิจแขนงใหม่จากที่เคยทำมา
ในขณะนั้นอาจกล่าวได้ว่าโครงการสวนป่ายูคาลิปตัส เป็นงานท้าทายใหม่ของกลุ่มเกษตรรุ่งเรืองพืชผล
จะเห็นได้จากเมื่อกิตติเข้ามาดูแลสวนป่าเหล่านี้แล้ว ดูเหมือนว่าจะทิ้งงานกิจการค้าข้าวและพืชไร่และกิจการอื่นๆ
ที่เคยดูแลมาจนหมด โดยโอนให้ผู้ใกล้ชิดและบุตรชายคนโต "โยธิน"
รับภาระไป
ผู้ใกล้ชิดกล่าวถึงความกระตือรือร้นของกิตติว่า "หลังจากเข้ามาดูแลสวนป่าแล้ว
คุณกิตติให้ความสนใจต่อโครงการมาก ใส่ใจความเจริญเติบโตของต้นยูคาลิปตัส
ซึ่งพบว่าบางต้นโต บางต้นไม่โต ก็พยายามหาทางออกศึกษาวิธีการต่างๆ ระหว่างนั้นก็เดินทางไปดูโครงการปลูกป่าต่างๆ
ทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนั้นมีโครงการอะราครูซ ซึ่งถือเป็นยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของโลกในอุตสาหกรรมสวนป่าและผลิตเยื่อกระดาษ
ในยุคเริ่มแรกในโครงการสวนป่ายูคาลิปตัส ก่อนก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมสวนป่าและโรงงานผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษแบบครบวงจรนั้น
กิตติได้นักวิชาการที่มีแนวคิดรุกไปข้างหน้าเข้ามาเสริมพลังที่มีอยู่
ดร.นิกร วัฒนพนม อาจารย์คณะบริหารจากนิด้า เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเชิงนโยบายด้านการลงทุน
ที่กิตติเห็นว่าเป็นพัฒนการทางธุรกิจแขนงใหม่ของกลุ่มเกษตรรุ่งเรืองพืชผล
และดร.นิกรผู้นี้ยังมีหน้าที่สำคัญในการร่วมเจรจากับต่างประเทศในยุคเริ่มแรกนั้นด้วย
ดร.นิกรได้เข้ามาร่วมงานกับกิตติในยุคที่กิตติเพิ่งเริ่มเข้ามาดูแลงานสวนป่าอย่างเต็มตัว
และตลอดเวลาที่ผ่านมา ดร.นิกรจะพูดคุยถึงแนวคิดให้ความเห็นผ่านกิตติเพียงคนเดียวเท่านั้น
และดร.นิกรนี่เองที่มีส่วนสำคัญที่ผลักดันและสร้างความมั่นใจให้กิตติ จนตัดสินใจก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษและกระดาษแบบครบวงจร
ดร.นิกรเห็นว่าโครงการเยื่อกระดาษครงวงจรเป็นโครงการที่คนไม่อยากเข้ามาทำ
แต่ถ้าสามารถทำได้แล้วคนอื่นจะตามทันยาก เพราะกว่าคนอื่นจะมีวัตถุดิบคือไม้ยูคาลิปตัสป้อนแก่โรงงานก็ต้องใช้เวลาปลูกอย่างน้อย
5 ปี
กิตติจึงตัดสินใจเมื่องมองถึงศักยภาพรอบด้านที่มีอยู่ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นพลังทางการเงินและการเมือง
โครงการสวนป่ายูคาลิปตัสที่หวังเพียงตัดเป็นชิ้นไม้สับจำหน่ายให้กับญี่ปุ่น
จึงขยายสู่โครงการระดับหมื่นล้าน เพื่อทำการผลิตเยื่อและกระดาษแบบครบวงจร
ถ้าไม่มีอุปสรรคตอนต้นปี 2533 ป่านนี้โครงการผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษของกิตติ
อาจจะส่งสินค้าออกไปยังท้องตลาดเป็นจำนวนมากแล้วก็ได้
เพราะว่ากิตติได้ก่อตั้งบริษัทเพื่อทำโครงการผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษมาตั้งแต่เดือนมีนาคมปี
2532 ในนามบริษัท สวนกิตติ พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียนก่อตั้ง
20 ล้าน โดยขณะนั้นวางแผนที่จะผลิตเยื่อกระดาษฟอกขาวชนิดใยสั้น มีกำลังการผลิต
175,000 ต้นต่อปี โดยใช้ไม้ยูคาลิปตัสจากบริษัท สวนกิตติ และบริษํท สวนสยามกิตติ
เป็นวัตถุดิบ
ทั้งสองบริษัทที่จะป้อนไม้ยูคาลิปตัสให้กับโรงงานผลิตเยื่อและกระดาษตามแผนนั้น
ก็คือ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทสวนกิตติ พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ ซึ่งต่อมาเข้าใจว่าโครงสร้างการถือหุ้นนี้มีการเปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ก็เพื่อให้โครงการผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษ ตัดขาดจากกิจการสวนป่า
โดยเฉพาะสวนกิตติอย่างสิ้นเชิง โดยระยะหลังใช้ชื่อการถือหุ้นในนามกลุ่มบริษัท
เกษตรรุ่งเรืองพืชผล
เหตุที่ต้องการตัดชื่อเหล่านั้นทิ้งก็เพื่อการล้างภาพพจน์ในอดีต แม้จะผ่านการพิสูจน์ในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม
จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2534 หลังจากที่ปัญหาในคดีการบุกรุกที่ป่าเริ่มคลี่คลาย
และแนวโน้มการกลับมาของธุรกิจจะเป็นไปได้ กิตติจึงทำการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น
"แอ๊ดวานซ์ อะโกร" เพื่อให้ดูว่าพ้นเงาดำของภาพลบในอดีต
มิใช่แค่เพียงการเปลี่ยนชื่อบริษัทหรือการถ่ายโอนหุ้นที่อยู่ในนามสวนกิตติและสวนสยามกิตติเท่านั้น
เมื่อถึงขั้นตอนที่จะต้องซื้อวัตถุดิบคือไม้ยูคาลิปตัส คงไม่อาจที่จะปล่อยให้แอ๊ดวานซ์
อะโกร ซื้อไม้ยูคาลิปตัวจากสวนกิตติ ได้โดยตรง ตามนโยบายล้างภาพพจน์นั้น
บริษัท อะโกรไลน์ส จำกัด จึงถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางในการหาวัตถุดิบมาป้อนให้กับโรงงานผลิตเยื่อและกระดาษของแอ๊ดวานซ์
อะโกร อีกทอดหนึ่ง
ซึ่งบริษัท อะโกรไลน์ส แห่งนี้ถือหุ้นโดยสวนกิตติ 74.99%
การลบภาพเก่าๆ และการจัดทัพครั้งใหม่นี้ดูเหมือนว่าจะทำให้กิตติมั่นใจยิ่งขึ้น
เพราะยังมิทันที่โรงงานเยื่อและกระดาษโรงแรกจะเสร็จสมบูรณ์ ก็ได้ประกาศโครงการโรงงานเยื่อและกระดาษแห่งที่สองขึ้นมาเพื่อรองรับสภาพของตลาดและอุตสาหกรรมนี้ที่ดูจะสดใสอย่างยิ่ง
โครงการผลิตเยื่อและกระดาษในนามบริษัท แอ๊ดวานซ์ อะโกร นั้น นับเป็นโครงการต่อเนื่องจากสวนป่ายูคาลิปตัสที่แม้จะเป็นต่างบริษัทดำเนินการ
แต่ก็ถือว่าอยู่ในเครือข่ายหุ้นส่วนใหญ่เดียวกัน
แผนงานขั้นต้นนั้นวางไว้ว่าจะทำการผลิตเยื่อกระดาษที่มีกำลังการผลิต 175,000
ตันต่อปี และผลิตกระดาษพิมพ์เขียนที่มีกำลังการผลิต 217,200 ตันต่อปี เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกบางส่วน
ส่วนมูลค่าโครงการแรกนี้จะใช้เงินลงทุนราว 16,740 ล้านบาท
โรงงานผลิตเยื่อกระดาษของแอ๊ดวานซ์ อะโกร นอกจากจะผลิตเพื่อป้อนบริษัทแล้ว
บางส่วนยังส่งไปยังบริษัท ไฮเทค เปเปอร์ จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตกระดาษชนิดไม่เคลือบผิว
ที่มีกำลังการผลิต 41,000 ตันต่อปี และเป็นบริษัทย่อยของแอ๊ดวานซ์ อะโกร
นอกจากนี้แอ๊ดวานซ์ อะโกร ยังตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง "99
กรุ๊ปเซ็นเตอร์" เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายกระดาษที่ได้จากการผลิตของโรงงานแอ๊ดวานซ์
อะโกรและโรงงานของบริษัทย่อย
(รายละเอียดโครงสร้างบริษัทการโยงใยเครือข่ายของกลุ่มบริษัท เกษตรรุ่งเรืองพืชผลดังตารางประกอบ)
"คดีส่วนใหญ่หลุดหมดแล้ว ที่เหลืออีกไม่กี่คดีก็มีแนวโน้มเช่นเดียวกัน
มันเป็นปัญหาการเมือง ซึ่งวันนี้พิสูจน์แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ช่วงนั้นมีคนต้องการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อสร้างวีรบุรุษ"
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ผู้ซึ่งกิตติ ดำเนินชาญวนิชย์ วางใจให้เข้ามาดูแลรับผิดชอบงานที่ถือเป็นก้าวใหม่ของตระกูลในฐานะประธานกรรมการบริหารแทนตนเอง
ซึ่งมีเหตุผลเพียงว่า กิตติ ต้องการที่อยู่ข้างหลังและเก็บตัวมากกว่าการออกมาพบปะสาธารณชน
ซึ่งบางครั้งจำต้องฝืนใจ ถ้ายังขืนอยู่ในฐานะประธานกรรมการบริหารเช่นเดิม
ดร.วีรพงษ์ กล่าวถึงแผนงานที่เร่งทำกันขณะนี้ว่า บริษัทได้พยายามเร่งโรงงานแห่งแรกนี้ให้เสร็จเร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิม
3 เดือน เนื่องจากขณะนี้ตลาดมีความต้องการสินค้าอย่างมาก ยิ่งบริษัทเร่งการผลิตให้เร็วขึ้นเท่าไร
ก็หมายถึงรายได้และกำไรจะมากขึ้นตามไปด้วย
เดิมโครงการโรงงานเยื่อและกระดาษแห่งนี้ กำหนดว่าการผลิตกระดาษพิมพ์เขียนชนิดไม่เคลือบผิว
จะเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2539 การผลิตกระดาษพิมพ์เขียนชนิดเคลือบผิวเริ่มในเดือนสิงหาคม
2539 และการผลิตเยื่อกระดาษเริ่มในเดือนพฤษภาคม 2539
"ขณะนี้เราเซ็นสัญญาซื้อเครื่องจักร เพื่อติดตั้งในโรงงานผลิตเยื่อและกระดาษโรงที่สอง
พร้อมแผนงานทุกอย่างไว้แล้ว"
ดร.วีรพงษ์ อธิบายอีกว่า เหตุผลที่บริษัทตัดสินใจเริ่มโครงการที่สอง เพราะผู้ผลิตเครื่องจักรได้ขายให้เราในราคาถูกมาก
หรือถูกกว่าปัจจุบัน 20% ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทได้มีการเจรจากันตั้งแต่ต้นปี
2537 นอกจากนี้โรงงานแห่งที่สองยังสามารถใช้ผลผลิตจากโรงผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ
จากการลงทุนของโรงงานแรกได้อย่างเต็มที่เพราะมีเพียงพอ จึงทำให้การลงทุนในโรงงานที่สองนี้ประหยัดในเรื่องต้นทุนด้านระบบสาธารณูปโภคได้มาก
อีกประการหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน ที่ทำให้ตัดสินใจเริ่มโครงการสองทันที
เพราะเราเห็นว่าอุตสาหกรรมกระดาษในประเทศยังมีอนาคตสดใสอีกมาก เพราะยังมีผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่สามารถผลิตได้จากกระดาษ
ซึ่งต่อไปบริษัทคงจะต้องเข้าไปทำการศึกษาในส่วนนี้มากขึ้น
อย่างไรก็ดีการลงทุนในโรงงานสองนี้ไม่ได้กระทำโดยบริษัท แอ๊ดวานซ์ อะโกรโดยตรง
ซึ่งดร.วีรพงษ์ บอกว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เป็นเรื่องของเทคนิคในการบริหารหรือการจัดการเท่านั้น
กิตติ พยายามจะจัดโครงสร้างในส่วนของธุรกิจกระดาษให้แยกออกมาอย่างชัดเจน
โดยมีแอ๊ดวานซ์ อะโกรเป็นตัวหลัก
ซึ่งการจัดตั้งโรงงานแห่งที่สองนี้จะเห็นความชัดเจนขึ้น
บริษัทแอ๊ดวานซ์ อะโกร จะเข้าถือหุ้น 99.99% ในบริษัท แอ๊ดวานซ์ อะโกร โฮลดิ้ง
จำกัด ที่มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาทเพื่อประกอบธุรกิจโฮลดิ้ง จากนั้นบริษัท
แอ๊ดวานซ์ อะโกร โฮลดิ้งจะเข้าถือหุ้น 99.99% ในบริษัทแอ๊ดวานซ์ เปเปอร์
จำกัด ที่มีทุนจดทะเบียน 800 ล้านบาท
ซึ่งบริษัท แอ๊ดวานซ์ เปเปอร์ แห่งนี้จะเป็นผู้ที่เข้าลงทุนในโรงงานแห่งที่สองเพื่อผลิตกระดาษพิมพ์เขียน
โครงการผลิตกระดาษในนามบริษัทแอ๊ดวานซ์ เปเปอร์ จะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ
3,200 ล้านบาท มีกำลังการผลิตเต็มที่ 200,000 ตันต่อปี โดยคาดว่าจะเริ่มทำการผลิตได้ประมาณเดือนธันวาคม
2539
การกลับมาครั้งใหม่ด้วยแผนงานการลงทุนที่ต่อเนื่องและระมัดระวังอย่างรอบด้านเช่นนี้
ดูเหมือนว่า ความหวังที่จะเป็นยักษ์ใหญ่ของอุตสหากรรมกระดาษแบบครบวงจรอยู่ไม่ไกลปลายมือของเขาแล้ว
นักต่อสู้ที่ผ่านวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญของชีวิตมาได้ ย่อมหมายถึงว่านับจากนี้ไป
ไม่มีสิ่งใดน่าเกรงกลัวอีก
เหตุการณ์ที่ผ่าน ได้ให้บทเรียนแก่เขา "กิตติ ดำเนินชาญวนิชย์"
มากมาย ซึ่งดูเหมือนว่าจะกลายเป็นครูเพื่อให้นักต่อสู้ผู้นี้ ระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้น
เพื่อพร้อมจะยิ่งใหญ่อีกครั้งในวันข้างหน้า