PTTCHเล็งควบกิจการลงทุนต่างประเทศ


ผู้จัดการรายวัน(21 มีนาคม 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

ปตท.เคมิคอลสยายปีกลงทุนต่างประเทศ เน้นทำ M&A อาศัยจุดแข็งของพันธมิตร คาดได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ ส่วนโครงการเม็ดพลาสติกที่อิหร่าน ยันผลิตได้แน่ไตรมาส 2 /2552 หลังพาร์ทเนอร์แก้ปัญหาด้านวัตถุดิบได้แล้ว ฟุ้งปี 2553รายได้ทะยาน 1.2 แสนล้านบาท หลังโครงการใหม่แล้วเสร็จ ทำให้มีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรวม 1.5 ล้านตัน/ปี

นายอดิเทพ พิศาลบุตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTCH) เปิดเผยความคืบหน้าการลงทุนในต่างประเทศว่า ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าควบรวมกิจการ (M&A) คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ ซึ่งรายละเอียดของโครงการยังไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยพันธมิตรจะมีจุดแข็งในกิจการและมีเครือข่าย ซึ่งสร้างผลตอบแทนต่อบริษัทฯได้

"การทำธุรกิจนับจากนี้จะเป็นแบบGobalization ลงทุนตรงไหนที่ให้ผลประโยชน์สูงสุด โดยไม่ต้องยึดประเทศ หรือภูมิภาค ตรงไหนดี ทำให้บริษัทมีต้นทุนต่ำสุด ก็เลือกทำตรงนั้นพร้อมกับมองตลาดด้วย"

ส่วนโครงการผลิตเม็ดพลาสติกHDPEในอิหร่าน คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในพ.ย.นี้ และเริ่มผลิตเม็ดพลาสติกเชิงพาณิชย์ได้ไตรมาส 2 ปี 2552 หลังจากเลื่อนโครงการมาหลายปี เนื่องจากประสบปัญหาด้านวัตถุดิบ โดยล่าสุด พันธมิตรร่วมทุนอิหร่านสามารถจัดหาวัตถุดิบป้อนโครงการได้ คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 360 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการผลิตเม็ดพลาสติกที่อิหร่าน มีกำลังการผลิต 3 แสนตัน/ปี เงินลงทุน 231 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปตท.เคมิคอลถือหุ้นอยู่ 10% คิดเป็นเงินลงทุน 290 ล้านบาท โดยปริมาณเม็ดพลาสติกที่ผลิตได้ บริษัทฯจะรับไปดำเนินการส่งออกจำนวน 3 หมื่นตันตามสัดส่วนการถือหุ้น

นายอดิเทพ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติก HDPE ในตลาดโลกยังดีอยู่ มีราคาเฉลี่ยตันละ 1,500 เหรียญสหรัฐ ขณะที่เอทิลีนปรับตัวลดลงจากปริมาณการผลิตจากตะวันออกกลางที่เข้ามา ส่วน MEG ราคาอ่อนตัวลงจากช่วงไตรมาส 4ปีที่แล้วที่ 1500 เหรียญสหรัฐ/ตัน เหลือเพียวง 1,100 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากโรงงานในตะวันออกกลางเดินเครื่องได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกปีนี้ ส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกHDPE กับแนฟธา (สเปรด)อยู่ที่ 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดว่าทั้งปีสเปรดจะอยู่ที่ 650 เหรียญสหรัฐ/ตันเท่ากับปีที่แล้ว โดยปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายได้รวม 8 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่มีรายได้รวม 7.7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากบริษัทย่อย คือ บริษัทไทยโอลีโอเคมี จำกัด

ส่วนปัญหาซับไพร์มนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกขายเม็ดพลสติกในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากลูกค้ายังมีอออร์เดอร์อยู่ ในปี 2553 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้เติบโตอย่างมากประมาณ 1.2 แสนล้านบาท เนื่องจากโครงการลงทุนต่างๆแล้วเสร็จ ได้แก่ โครงการผลิตHDPE จำนวน 5 แสนตัน โครงการ LLDPE และLDPE 7 แสนตัน

นายวีรศักดิ์ โฆษิตไพศาล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันเม็ดพลาสติกLLDPE และLDPE ผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ดังนั้น บริษัทฯจึงได้ลงทุนกว่า 6 หมื่นล้านบาทในการเพิ่มกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก HDPE รวมทั้งสร้างโรงงานเม็ดพลาสติก LLDPE และLDPE ซึ่งจะทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรวมทั้งสิ้น 1.5 ล้านตันในปี 2553 ซึ่งการบริหารจัดการภายใต้แบรนด์ InnoPlus จะเอื้อประโยชน์ให้กับลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจไปกับบริษัทได้ ซึ่งจะช่วยสร้างศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมพลาสติกไทยให้แข่งขันในตลาดสากลได้

ทั้งนี้ บริษัทฯเตรียมเดินทางไปโรดโชว์นักลงทุนสถาบันที่ญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ในช่วงเดือนพ.ค.นี้ ด้วย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.