เผยโฉมหน้ามาเฟียจอมอิทธิพลสองค่ายใหญ่กุมผลประโยชน์วงจรอุบาทก์ทัวร์ศูนย์เหรียญและมะเร็งร้าย"ส่วยท่องเที่ยว"อย่างเบ็ดเสร็จ
ผ่าเส้นทางส่วยค้ำจุนทัวร์นอกคอกทั้งระบบ มีทั้งประเภท "ส่วยสามัญ" ที่ส่งกันเป็นประจำไปจนถึง
"ส่วยหุ้นส่วนอิทธิพล" รับประกันผลงานเคลียร์ได้ทุกระดับทั่วราชอาณาจักร
"ทัวร์ศูนย์เหรียญ เป็นการดำเนินการร่วมกันอย่างเป็นขบวนการ เชื่อมโยงและจัดแบ่งผลประโยชน์กันทั้งเครือข่ายอย่างครบวงจร
ตั้งแต่กลุ่มบริษัททัวร์เอาต์บาวนด์ของจีน กลุ่มบริษัททัวร์อินบาวนด์ของไทย กลุ่มไกด์เถื่อน
ซึ่งเป็นจักรกลสำคัญในการปฏิบัติการรีดเงินจากนักท่องเที่ยว และบริษัทร้านจิวเวลรี่
2 ค่ายเป็นนายทุนใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังของขบวนการนี้ทั้งหมด
"โฉมหน้าของบริษัททำทัวร์จีนของไทยราว 50-60 บริษัทในวงจรอุบาทว์นี้ เนื้อแท้แล้ว
กว่า 70% เจ้าของที่แท้จริง คือกลุ่มคนต่างชาติที่เป็นชาวจีนแดง ไต้หวันหรือฮ่องกง
โดยใช้วิธีหลบเลี่ยงในหลายรูปแบบเช่น จดทะเบียนโดยใช้ชื่อคนไทยบังหน้า และเจ้าของเดียวจะจดทะเบียนไว้หลายบริษัท
บางกลุ่มมีถึง 6-7 บริษัทเอาไว้เผื่อมีปัญหาถูกปิดกะทันหัน บริษัทเหล่านี้ส่วนมากจะตั้งอยู่แถวถนนรัชดาภิเษกห้วยขวาง
และในตึกใหญ่ บนถนนพระราม 9"
"ที่สำคัญบริษัทเหล่าเกือบทั้งหมดล้วนมีทุนสนับสนุนมาจากนายทุนบริษัทร้าน จิวเวลรี่ยักษ์ใหญ่
2 ค่าย โดยเฉพาะเงินค่าเคบีก้อนใหญ่ที่ต้องไปวางมัดจำไว้กับบริษัททัวร์ประเทศจีน"
แหล่งข่าว อดีตประธานชมรมมัคคุเทศก์ภาษีจีน ที่ยึดอาชีพมัคคุเทศก์อยู่ในวงการท่องเที่ยวมากว่า
30 ปีเล่าให้ "ทีมข่าวพิเศษ ผู้จัดการรายวัน" ฟัง
ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายในการนำเที่ยวแต่ละกรุ๊ปทัวร์ จะเต็มไปด้วยปฏิบัติการวิชามาร
ชักนำ-หลอกหลวง-ต้มตุ๋น-บีบบังคับ ทุก วิถีทางในการ "รีดเงิน"เพื่อถอนทุนและกอบโกยกำไร
จากนักท่องเที่ยวที่ตกมาเป็นเหยื่อ ทัวร์ศูนย์เหรียญ ให้ควักกระเป๋าออกมาจับจ่ายสินค้าและบริการได้มากที่สุด
ตามจุดหรือร้านเป้าหมายที่มีการวางเครือข่ายรองรับไว้ทั้งหมดแล้ว
โฉมหน้ามาเฟียใหญ่
กลุ่มนายทุน"มาเฟีย" 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ดังกล่าว ข้างต้น คือ 1.กลุ่มเจ้าของร้านจิวเวลรี่
ชื่อบริษัท "ส." อยู่บริเวณถนนพระรามอินทรา ใกล้ทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ค่ายนี้มีนายทหารใหญ่ระดับยศ
"พล.อ." ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
2. กลุ่มเจ้าของร้านจิวเวลรี่ บริษัท "อ" ตั้งอยู่แถบสี่แยกมักกะสัน ถนนศรีอยุธยา
เบื้องหลังมี นักการเมืองคนดังแถวสมุทรปราการและผู้มีอิทธิภาค ตะวันออกร่วมเป็นหุ้นส่วนในเครือข่าย
พร้อมมีนายตำรวจระดับ "พล.ต.อ." คอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลัง
"นายทุน 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ คือ หัวใจสำคัญที่ทำให้ทัวร์ศูนย์เหรียญกำเนิดขึ้นและอยู่ยงคงกระพัน
จนทุกวันนี้ เพราะเป็นทั้งแหล่งเงินทุนให้บริษัททัวร์ เป็นเจ้าของเครือข่ายร้านชอปปิ้งเป้าหมายในการรีดเงินจากเหยื่อแล้วแบ่งสันปันส่วนให้กับบริษัททัวร์-ไกด์เถื่อน
และเป็นศูนย์กลางอิทธิพลคอยช่วยเหลือปกป้องและเคลียร์ปัญหากับหน่วยงานรัฐของระบบทัวร์ศูนย์เหรียญทั้งหมด"
ช่องทางและรูปแบบในการจัดส่งผลประโยชน์ หรือเรียกกันว่า "ส่วยท่องเที่ยว" ให้กับหน่วยงานที่มี
อำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง เพื่อค้ำชูให้ระบบนี้อยู่ได้ มีทั้งการหักส่งผ่านบริษัททัวร์
-ไกด์เถื่อนควักจ่ายทันทีในระหว่างนำเที่ยว
การดำเนินการโดยกลุ่มมาเฟีย 2 ค่ายเป็นศูนย์บัญชาการกลาง ซึ่งอยู่ภายใต้เงาอิทธิพลทั้ง
"สีเขียว"- "กากี" และนักการเมืองที่อยู่ข้างหลัง เพื่อคอยปกป้อง อำนวยความสะดวก
และเคลียร์ปัญหาให้ทันทีทุกรณี เช่น ทัวร์ถูกจับกุม ข้อหาใช้ไกด์เถื่อนนำเที่ยว
,บีบบังคับนักท่องเที่ยวหรือทิ้งทัวร์ กลางคัน
ผ่าเส้นทาง"ส่วยท่องเที่ยว"
การเก็บดอกผล "เม็ดเงิน" อันเป็นผลประโยชน์ก้อนโตที่เกิดจากธุรกิจนำเที่ยวแบบนอก
คอก-ไร้ขอบเขตจำกัดนี้ ได้ถูกจัดสรรปันส่วนกันอย่าง ถ้วนหน้าและลงตัว
แน่นอนไม่ใช่การจำกัดอยู่เฉพาะในวงของเหล่า บรรดาบริษัททัวร์-กลุ่มมัคคุเทศก์หรือไกด์(เถื่อน)-กลุ่มนายทุนผู้ประกอบการขายสินค้าและบริการ
เท่านั้น ที่สำคัญขาดไม่ได้ คือการต่อท่อส่งไปยังกลไก หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ
2 หน่วยงาน หลัก ที่ควบคุมกำกับดูแลและปราบปรามธุรกิจท่องเที่ยวที่นอกลู่ นอกทาง
ตามกฎหมาย อันเป็นที่รู้จักคุ้นเคยและเรียกขานกันในวงการว่า "ส่วยท่องเที่ยว" ซึ่งเมื่อได้ประมวลรูปแบบวิธีการของการส่งและรับส่วยท่องเที่ยวลงลึกในรายละเอียดแล้ว
พอจะแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. "ส่วยส่งผ่านบริษัททัวร์" เป็นส่วยสามัญที่ขาดไม่ได้
2. "ส่วยรายทาง" เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมเฉพาะหน้า
3. "ส่วยหุ้นส่วนอิทธิพล" ค้ำชูทัวร์ศูนย์เหรียญทั้งระบบ
ค่า OP ส่วยสามัญรายเดือน
สำหรับ "ส่วยผ่านบริษัททัวร์" นั้น บริษัททัวร์เป็นตัวกลางในการจัดเก็บและนำส่งให้
กลุ่มผู้หลัก-ผู้ใหญ่ที่มีอำนาจวาสนาในหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
"กลุ่มบริษัทที่ทำทัวร์ศูนย์เหรียญ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าตลาดจีน ฮ่องกงไต้หวัน
รัสเซียหรือประเทศอื่นๆ จะต้องรวบรวมเงินส่งส่วยกลุ่มหน่วยงานรัฐทุกเดือน เงินก้อนนี้บริษัททัวร์จะเป็นผู้จัดเก็บ
โดย จะเริ่มเก็บจากกลุ่มไกด์เถื่อนทันทีที่ซื้อหัวนักท่องเที่ยวจากบริษัทกรุ๊ปละ
1,000-1,500 บาท ซึ่งแยกต่างหากจากค่า "OP" หรือ operation ที่ใช้ชื่อเรียกกันให้สวยหรูแต่ความจริงเป็นเงินที่บริษัทจัดเก็บไว้ส่งส่วย
นั่นเอง" แหล่งข่าวมัคคุเทศก์ภาษาจีนระดับอาวุโสแจกแจงให้ ทีมข่าวพิเศษ "ผู้จัดการรายวัน"
ฟัง
สำหรับอัตราการจ่ายค่า OP นี้ โดยเฉลี่ยทั่วไป แยกเป็นทัวร์ที่นำเที่ยวโดยไกด์เถื่อนจ่ายกรุ๊ปละ
1,000 บาท สำหรับไกด์ที่ถูกต้องตามกฎหมายจ่าย 500 บาท ต่อกรุ๊ป บางบริษัทได้กำหนดแยกย่อยลงไปอีก
คือ กรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยว 1-15 คน จ่าย 500 บาท, 15-25 คน จ่าย 700 บาท และกรุ๊ปทัวร์
25 คนขึ้นไป 1,000 บาท ส่วนทัวร์ฮ่องกงไม่สนใจว่าจะเป็นกรุ๊ปใหญ่ หรือเล็กจะจัดเก็บอัตราหัวละ
50 บาทเท่ากันหมด
"ค่าOP นี้ทุกบริษัททัวร์ต้องจัดเก็บไว้จ่ายให้เจ้าหน้าที่รัฐทั้งเป็นการส่งให้ประจำเดือน
และจ่ายมา เป็นครั้งคราวที่ถูกเรียกมาในหลายรูปแบบ เช่น ขอสนับสนุนจัดพิมพ์หนังสือ
วารสารหรือนิตยสารต่างๆ เป็นต้น
"ส่วยท่องเที่ยวตัวเลขมันมหาศาล หากคำนวณ คร่าวๆเฉพาะค่า OP ของตลาดจีนในปีหนึ่งมีนักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างน้อย
15,000 กรุ๊ป คูณ 1,500 บาทเป็นเงินกว่า 15 ล้านบาทไม่ทราบว่าเงินก้อนหนี้หายไปไหน
หาใบเสร็จไม่ได้ ที่เจ็บใจไปกว่านั้นค่าส่วย เหล่านี้เถ้าแก่เจ้าของบริษัททัวร์ไม่ยอมควักกระเป๋าแม้แต่บาทเดียว
แต่ผลักภาระมารีดเอาจากไกด์ทั้งหมด คิดดูแล้วกันว่าวงการนี้มันโหดร้ายกับปลาเล็กแค่ไหน"
"เมื่อพูดเรื่องนี้แล้วอดที่จะกล่าวถึงอีกเรื่องไม่ได้ก็คือ ระบบการเก็บค่าใช้จ่ายของสมาคมไทยธุรกิจ
ท่องเที่ยวหรือ ATTA ในการอำนวยความสะดวกรับ-ส่งนักท่องเที่ยวที่บริเวณสนามบิน
ซึ่งมีการจัดพนักงานทรานสเฟอร์แมน (Transfer Man) มาคอยให้บริการและทำการเก็บค่าบริการราคา
30 บาทต่อนักท่องเที่ยว 1 คน แต่ออกใบเสร็จให้เพียง 16.50 บาท นั้น เป็นคำถามมาตลอดว่าแล้วอีก
10 กว่าบาทที่เหลือหายไปไหน อีกทั้งบริษัททัวร์ต้องจ่ายอีกเดือนละ 3,000 บาท ซึ่งเรื่องนี้ถึงเวลาต้องสะสางให้โปร่งใสเสียที
รวมถึงปัญหาทรานสเฟอร์แมนที่กลับกลายเป็น กลไกคอยช่วยเหลือกลุ่มมัคคุเทศก์เถื่อนในการรับ-ส่งนักท่องเที่ยวไปแล้ว"
แหล่งข่าวมัคคุเทศก์คนเดิมเพิ่มเติม
ส่วยรายทางใบผ่านทัวร์นอกลู่
นอกจากส่วยข้างต้นที่ต้องเก็บรวบรวมเพื่อจัดส่งเป็นส่วยสามัญประจำแล้ว ยังมีรายการจ่าย
"ส่วยรายทาง" อีกในหลายรูปแบบที่ยากต่อการหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะทัวร์ที่ใช้ไกด์เถื่อนเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้ปัญหาลุกลาม
หรือ ซื้อเอาความสะดวกผ่านตลอดเป็นที่ตั้งเอาไว้ก่อน
เช่น กรณีทัวร์ที่ใช้ไกด์เถื่อนนำเที่ยวถึงจะมีหรือ ไม่มี "Sitting Guide" หรือ
"ไกด์ไม้กันหมา" นั่งมาด้วยก็ตาม หากถูกเจ้าหน้าที่เรียกให้หยุดรถเพื่อตรวจ สอบจะจ่ายค่าเบิกทางสะดวกทันที
อย่างต่ำ 1,000-2,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งปฏิบัติการตรงนี้มักมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของ
"ไกด์ไม้กันหมา" ในการเจรจาต่อรองและยัดเงิน"ค่าน้ำ"เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
ส่วยรายทาง มีสารพัดรูปแบบที่สามารถเกิดขึ้น ได้ตลอดเวลาระหว่างการนำเที่ยว ดังนั้นยุคก่อนหน้า
นี้ไม่นานจึงมีการซื้อขาย "บัตรกันผี" ในหมู่ผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์กันอย่างกว้างขวางและเป็น
ที่ฮือฮามาก
บัตรที่ว่านี้ เป็นนามบัตรของ "ผู้ใหญ่"ของหน่วย งานรัฐ ที่เขียนสลักบริเวณด้านหลังระบุข้อความขอให้
อำนวยความสะดวกลงไป พร้อมลายเซ็นของจริงเสียงจริงของผู้ใหญ่ท่านนั้น
"บัตรกันผีนี้ ทั้งไกด์เถื่อนและไม่เถื่อนต้องซื้อราคาสูงเพื่อพกพาติดตัวเอาไว้ควักแสดงใช้กรณีถูกจับกุมหรือถูกกลั่นแกล้ง
ข้อความที่เขียนสลักด้านหลัง เช่น ตำรวจท่านใดจับเพื่อนผมคนนี้ กรุณาให้ความช่วยเหลือด้วย
ลงชื่อ ...... หรือ ช่วยอำนวยความ สะดวกให้เพื่อนของผมด้วย ลงชื่อ..... เป็นต้น"
แหล่ง ข่าวระดับสูงในชมรมมัคคุเทศก์ภาษาจีน เปิดเผย
นอกจากนี้ยังมี "ส่วยสติกเกอร์" ออกมาซื้อ-ขาย กันอย่างแพร่หลายสำหรับติดกระจกหน้ารถบัสทัวร์นำเที่ยวเป็นใบผ่านทางชั้นดี
ไม่ต่างอะไรจากส่วยสติก เกอร์รถบรรทุกที่รับรู้กันทั่วไป
"ไกด์คนไหนแม้จะเป็นไกด์ถูกต้องตามกฎหมาย หากไม่ยอมเข้าระบบส่วยนี้จะอยู่ลำบาก
มักจะถูกจับตาจ้องเอาผิดจากเจ้าหน้าที่อยู่ตลอดเวลา เช่น ผมโดนมากับตัวเอง ครั้งที่พาลูกทัวร์ลงเรือข้าม
ทะเลไปเที่ยวเกาะล้านระหว่างทางลมพัดบัตรไกด์ที่แขวนคออยู่พลิกกลับด้านหลังออกมา
แค่ก้าวขึ้นฝั่งได้ไม่เท่าไร ถูกเจ้าหน้าที่จับลากคอไปเสียค่าปรับทันที 500 บาท
ข้อหาไม่แสดงบัตร เขาจ้องหาเรื่องเราขนาดนี้ แต่ไกด์เถื่อนกลับปล่อยให้มีอยู่เต็มประเทศ
" แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติม