เดสมอนด์ ซูลลิแวน ผู้เชี่ยวชาญการประเมินความเสียหาย


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

มีคนไทยจำนวนไม่มากนักที่รู้จักธุรกิจรับประเมินความเสียหาย ( loss adjuster) ด้วยความที่ธุรกิจนี้มีส่วนผูกพันกับธุรกิจประกันภัย หลายคนจึงเข้าใจว่าการประเมินความเสียหายเป็นเพียงงานในหน้าที่ หนึ่งของเจ้าหน้าที่บริษัทประกันแต่สำหรับต่างประเทศธุรกิจนี้ กลายเป็นสถาบันกลางที่มีบทบาทและได้รับความเชื่อถืออย่างมากจากบริษัทผู้รับประกัน และประชาชนผู้เอาประกัน แต่ในปัจจุบันธุรกิจนี้กำลังแพร่กระจายเข้ามาในเมืองไทย

เดสมินด์ ซูลลิเวน กรรมการผู้จัดการ บริษัทเกรแฮม มิลเลอร์ ( ประเทศไทย) บริษัทผู้รับประเมินความเสียหายทรัพย์ประกันภัยระหว่างประเทศ ที่แม้จะเข้ามาเปิดธุรกิจในประเทสไทยมานานนับสิบปีแล้วก็ตาม แต่ก็เพิ่งจะมาทำธุรกิจในเชิงรุกเอาโดยเปิดเป็นสาขาเมื่อสามปีที่ผ่านมานี้นี่เอง

ปีนี้ เดสมอนด์ เพิ่งจะอายุ 34 ปี แต่ตามคำบอกเล่าของเขานั้นมีประสบการณ์ในวงการประกันภัยยาวนานเกือบ 20 ปี เขาเรียนจบมาทางด้านการประกันภัยชั้นสูงโดยตรงจากสถาบัน c.i.i. หรือ chartered insurance in stitute หลักสูตรการประเมินความเสียหายจากสถาบัน C.I.L.A. ( CHARTERED INSTITUTE OF LOSS ADJUSTER)พร้อมกับได้รับอนุญาตให้เป็นผุ้เชี่ยวชาญจากสถาบันเดียวกันนี้ด้วย

เริ่มทำงานทางด้านประกันตั้งแต่อายุ 18 ปีที่ลอนดอน บ้านเกิด เมื่อทำมาได้ปีครึ่งก็หันมาจับงานทางด้านการประเมินความเสียหายเป็นเวลา

6 ปี ก่อนที่จะเข้าร่วมงานกับบริษํทเกรดฮม มิลเลอร์ เมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว โดยถูกส่งไปประจำประเทศต่าง ๆ ในย่านอเมริกาใต้และอเมริกากลาง จากนั้นก็ย้ายมาประจำที่ประเทศสิงคโปร์เป็นเวลา 2 ปี ก่อนที่จะเข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทเกรแฮม มิลเลอร์ ประเทศไทยเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา
7
การประเมินความเสียหาย เป็นวิชาชีพที่ได้รับความเชื่อถือมากในประเทศอังกฤษ ใครจะประกอบวิชาชีพนี้ได้ จะต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ออกให้โดยสถาบัน CILAที่กล่าวแล้วเพราะถือว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพของคนกลางที่จะให้คุณให้โทษแก่คู่กรณีระหว่าง

บริษัทประกันผู้รับประกันกับประชาชนผู้เอาประกัน เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น เนื่องจากถ้าไม่มีการควบคุมกันแล้ว ก็อาจทำให้เกิดการฉ้อฉลขึ้นได้

" ดังนั้น แม้ว่าคนที่จ้างเราเป็นผู้ประเมินยความเสียหายจะเป็นบริษัทประกันก็ตาม แต่เราก็เป็นอิสระในการดำเนินการสำรวจ ประเมินค่าและให้ความเห็นต่างๆ เพื่อให้ได้ค่าความเสียหายที่สอดคล้องกับความจริงมากที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน และก็ถูกถอนใบอนุญาตได้ " เดสมอนด์ กล่าวกับผู้จัดการ

ด้วยที่งานประเภทนี้เป็นวิชาชีพอิสระที่จะต้องประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับอนุญาต

ดังกล่าวดังนั้นในการจัดตั้งองค์กรธุรกิจหรือกลุ่มธุรกิจของผู้ประเมินความเสียหายจึงเป็นในลักษณะเช่นเดียวกับวิชาชีพอิสระอื่น ๆ อย่างเช่น ทนายความโดยเริ่มจากผู้เชี่ยวชาญประรจำบริษัทธรรมดา ก่อนจะถูกเลื่อนให้ขึ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับจูเนียร์ ซีเนียร์ และก็ระดับบริหารซึ่งเป้นระดับเป็นหุ้นส่วนด้วย

การทำงานทำกันเป้นทีม และมีการสานงานร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในด้านอื่น ๆ ด้วยในบางกรณี เช่นกฏหมาย วิศวกรรม ทรัพยากร แต่สำหรับองค์กรใหญ่ที่มีอายุกว่า 100 ปี อย่างเกรเฮม มิลเลอร์นี้ สำนักงานสาขาที่มีขนาดใหญ่ ในประเทศต่าง ๆ จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ทุกด้านประจำอยู่ เพื่อความพร้อมที่จะเข้าทำงานในเมืองใกล้เคียง ที่ยังมีไม่ครบ หรือไม่มีความจำเป็นต้องไปประจำตลอดเวลา

ในการทำงานเกี่ยวกับการประเมินควาาเสียหายจะเริ่มตั้งแต่การเข้าไปสำรวจสถานที่เกิด

เหตุ ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ เครื่องบินตก แผ่นดินไหว หรือนำรายละเอียดต่าง ๆ มาใช้กัยหลักวิชาการประเมินความเสียหาย พร้อมกับให้ความเห็นต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการรับประกันในอนาคตด้วย ส่วนการจ่ายค่าเสียหายจริง ๆ ที่บริษัทผู้รับประกันจะจ่ายนั้น เป็นหน้าที่ของบริษัทที่จะพิจารณาเอง

" ส่วนใหญ่แล้วบริษัทประกันที่จ้างเราก็จะจ่ายตามที่เราประเมินไป" เดสมอนด์ กล่าว

นอกจากการประเมินในด้านความเสียหาย แล้วยังมีการรับประเมินก่อนการประกันอีกด้วย เพราะมักจะเกิดความไม่ตรงกันอยู่เสมอระหว่างบริษัทประกันกับผู้เอาประกัน ฉะนั้น เพื่อความถูกต้องเป็นกลางและเป็นธรรมในการจ่าย และรับเบี้ยประกันก็จะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินเข้าไปประเมินว่าทรัพย์สินที่จะประกันได้ในมูลค่าจริง ๆ เท่าใด รวมทั้งใช้เป็นฐานในการคำนวณเบี้ยประกันด้วย

อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยแล้ว งานประเภทนี้ ส่วนใหญ่ยังเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้รับประกันภัย เองเป็นผู้กระทำ ทำให้ผู้เอาประกันไม่มั่นใจความถูกต้อง และเที่ยงธรรม ในการตีมูลค่าการะเมินที่ออกมา

สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ ก็เริ่มหันมาใช้บริการของบริษัท ผู้เชี่ยวชาญด้านการปะเมินความเสียหายโดยเฉพาะเป็นคนทำให้โดยเฉฑาะบริษัทที่เป็นของต่างประเทศ และบริษัทประกันภับของคนไทยขนาดใหญ่ และทุนทรัพย์ในการเอาประกันมีสูง เช่นกลุ่มบริษัทเครือข่ายของแบงก์ไทยพาณิชย์ และศรีอยุธยา ช่องทางการตลาดนี้ เดสมอนด์มีความเชื่อว่าอนาคตของธุรกิจรับประกันความเสียหายเกี่ยวกับการประกันภัยในประเทศไทย ยังมีโอกาสที่จะขยายตัวออกไปได้อีกมาก เขาเห้นว่า ในช่วงนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้นเอง

ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้เกรแฮม มิลเลอร์ กรุ๊ป กระโดดเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย เมื่อปี 2530 ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้มาเปิดสำนักงานตัวแทนคอยบริการลูกค้าต่อเนื่อง ที่มาจากต่างประเทศเช่นกันนาน กว่า 10 ปีมาแล้ว

ปัจจุบัน เกรแฮม มิลเลอร์ ประเทสไทยจึงมีทีมงานของตนเองในระดับหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็ใช้วิธีร่วมงานกับทีมงานที่อ่องกงและสิงคโปร์

" คนที่ความเชี่ยวชาญหรือผ่านงานทางด้านนี้ ในบ้านเรายังขาดอยู่มาก การสร้างทีมงานที่เป็นคนไทยจริงจริง คงต้องใช้เวลาและกำลังพยายามทำอยู่ในปัจจุบัน " เดสมอนด์ กล่าว

สถาบันการศึกษาในประเทศไทย เพิ่งจะตื่นตัวผลิตนักศึกษาออกมาป้อนตลาดอุตสาหกรรมประกันภัยเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง โดยเฉพาะสาขาการประเมินความเสียหายยังไม่ทันการเปิดเรียนเปิดสอนกันเลย เขาจึงต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งเข้าเป็นผู้บรรยายพิเศษด้านนี้ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าจะได้ผลบ้าง

นั่นเป็นภารกิจอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ ของเดสมอนด์ในประเทศไทย นอกจากการทำตลาดอย่างหนักเอาการพอดูซึ่งเขากล่าว่าเติบโตขึ้นมาเป็นที่พอใจ จากปี 2530 ซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดดำเนินการในเชิงรุกเกรแฮม มีอยู่ประมาณ 100 รายการ มาปีที่สอง ปริมาณงานเพิ่มขึ้นเป็น 200 และเพิ่มเป็น 500 ในปี 2533

ปัจจุบัน เกรฉฮม มิลเลอร์ ประเทศไทย มีทีมงานในระดับบริหาร ที่เป็นคนไทยอยู่อีก 2 คน คือ วนิชา ธเนศตระกูล เป็นผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการซึ่งเป็นคนที่อยู่กับเกรแฮมตั้งแต่เป็นสำนักงานตัวแทนเมื่อ 13 ปี ก่อนในฐานะเลขาประจำสำนักงานที่ทำงานเกือบทุกอย่างแทนเจ้าหน้าที่อยู่สาขาฮ่องกงแกละสิงคโปร์ ที่ดูแลสำนักงานนี้อยู่

วนิชา อายุ 40 ปี จบปริญญาโทบริหารธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา เริ่มเข้าทำงานกับบริษัทแองโกไทย ในปี 2519 ที่เป็นลูกค้าของเกรแฮมอยู่ ไม่นานก็ได้รับการทาบทามให้ดูแลสาขาของเกรแฮมจนถึงตั้งบริษัทขึ้น มาเป็นตัวเป็นตน จึงได้รับการแต่งตั้งให้มาอยู่ในตำแหน่งดังกล่าว

พิพัฒน์ รู้วัชรปกรณ์ อายุ 44 ปี ปลังจากจบจากกรุงเทพการบัญชี ก็ทำงานในอุตสาหกรรมประกันภัยมาตลอด ผ่านบริษํทต่าง ๆ มาหลายแห่ง โดยทำงานทางด้านการประเมินความเสียหายและฝ่าสยเรียกสินไหมไม่ว่าจะเป็นบริษัทคอมเมอร์เชียล ยูเนียน ประกันภัย ของอังกฤษ นิวซีแลนด์ประกันภัย ก่อนที่จะเข้าร่วมงานกับแกรแฮม มิลเลอร์ ในตำแหน่งผู้จัดการ ฝ่ายอัคคีภัยจนนถึงปัจจุบัน

ถ้าธุรกิจนี้ขยายออกไป ในวงกว้าง และยึดถือจริยธรรม และจรรยาบรรณ ในวิชาชีพ อย่างมั่นคง สมกับที่เป็นคนกลางจริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะเมื่อความเป็นธรรมเกิดขึ้นในความรู้สึกของประชาชน ผู้เอาประกันทุกคนแล้ว ผลประโยชน์จะตกแก่อุตสาหกรรมประกันภัย ทั้งมวล

ในประเทศอังกฤษ ที่เป็นต้นตำรับธุรกิจประกันภัยก็ได้ต้นตำรับธุรกิจทางด้านประเมินความเสียหายด้วยเช่นกัน ด้วยประสบการที่สั่งสมมานานนับ 400 ปี จนมีสถาบันการศึกษาที่เปิดขึ้นมาสอนทางด้านการประกันภัยโดยเฉพาะ และการประเมินความเสียหายนี่ก็เป็นอีกสาขาหนึ่งของมันเอง มีการให้วุฒิการศึกษาตั้งแต่ระดับต้น กลาง และชั้นสูง คนที่จบออกมาทางด้านนี้ ก็จะประกอบอาชีพผู้เชี่ยวชาญด้านการปะเมินความเสียหายเช่นเดียวกับวิชาชีพอื่น ๆ เช่น แพทย์ นักบัญชี ทนายความ หรือวิศวกร

วิชาชีพเหล่านี้ป็นวิชาชีพอิสระที่คนใด จะทำได้จะต้องได้รับอนุญาตจากสถาบันนั้น ๆ เช่นในบ้านเราก็มีแพทยสภาเป็นสถบันที่ออกใบอนุญาตและควบคุมแพทย์ สภาทนายความเป็นผู้ออกใบอนุญาตและควบคุมทนายความทั้งประเทศ

ธุรกิจประกันภัย ของบ้านเรา จึงด้รับการยอมรับยืนยาวมานานนับ 400 ปี

แต่สำหรับในแวดวงธุรกิจ ประกันในประเทศไทย ก็มีการควบคุมกันอยู่สองระดับคือ ระดับบริษัทที่เป็นผู้รับประกัน และระดับบุคคล ที่เป็นตัวแทนผู้ขายประกัน ทั้งนี้อยู่ภายใต้การออกใบอนุญาตและควบคุมการดำเนินการโดยกราประกันภัย กระทรวงพาณิชย์

แต่ก็เป็นที่รู้กันอยุ่ว่า การควบคุมบริษัทประกันในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ไม่ต้องกล่าวถึงการได้มาซึ่งใบอนุญาตในการเป็นตัวแทนการขายประกันอีกต่างหาก ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่า ไม่ค่อยจะมีความหายอะไรในตัวมันเลย ไม่ว่าจะเป็นการจริยธรรมจรรยายบรรณ ของวิชาชีพ ระหว่างพวกกันเอง และในแง่ของการให้ความคุ้มครอง ประชาชนผู้เอาประกัน

ส่วนสถาบันที่จำทำหน้าที่ในการควบคุมดูแลอีกอาชีพหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวงการประกัน

ก็คือ ผู้ประเมินความเสียหายไม่ว่าจะอยู่ในฐานะลูกจ้าง ของบริษัทผู้รับประกัน หรือในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ ยังไม่มีการจัดระเบียบการควบคุมและกำกับกันอย่างใด

เรียกว่าการกำกับและควบคุมการประกอบธุรกิจประกันภัยบ้านเรายังล้าหลังอยู่มาก สิ่งนี้เองเป็นช่องโหว่ให้ผู้ประกอบการที่ไม่มีความสามารถระดับมืออาชีพที่มีอยู่มากมาย ในตลาดประกัน แสวงหาการเอาเปรียบผู้เอาประกันเสมอ

เชื่อว่า ขณะนี้ ผู้เอาประกันได้รับความเป็นธรรมน้อยมาก ถ้าลูกค้าไม่พอใจก็โยนเรื่องให้ไปฟ้องร้องเอาที่ศาล

กระบวนการนี้มักเป็นสิ่งทีบริษัทประกันมักนิยมใช้กับผู้ประกันเสมอ



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.