"เหตุวิกฤตครั้งหนึ่งในชีวิต ถาวร พรประภา"


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2535)



กลับสู่หน้าหลัก

ถาวร พรประภาเป็นตัวอย่างของพ่อค้าในยุคสงครามโลกครั้งที่สองที่บุกเบิกกิจการค้ารถยนต์จนสร้างอาณาจักรอุตสาหกรรมในนามของ "สยามกลการ" ได้สำเร็จเพราะส่วนผสมระหว่างสายสัมพันธ์ธุรกิจกับการะสมทุนให้แข็งแกร่ง

ยามวิกฤต ถาวรได้พิสูจน์ว่าคอนเนกชันที่มีอยู่กับผู้ยิ่งใหญ่ของบ้านเมืองนี้ สามารถช่วยให้กิจการของครอบครัวตัวเองรอดพ้นการล่มสลายได้

จาก "บันทึกความทรงจำ" ที่ถาวรได้เขียนขึ้นในวาระครบรอบ 60 ปี ถาวรได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ตนเองได้แยกตัวออกจาก "ตั้งท่งฮวด" กิจการเก่าของพ่อแม่มาตั้งบริษัทสยามกลการต่อมาตั้งท่งฮวดประสบวิกฤตการณ์อย่างหนักเพราะเกิดคอร์รัปชันครั้งใหญ่ ทำให้ตั้งท่งฮวดเกือบจะล้มละลาย !

ยิ่งกว่านั้น ถาวรได้เล่าว่า ลูกน้องตั้งท่งฮวดที่ทุจริตก็ยังกลั่นแกล้งพี่ชายของตนและตั้งท่งฮวดนานาประการใส่ร้ายทำเรื่องถูกให้กลายเป็นผิด

"เหมือนพระช่วยดลบันดาล ทำให้ข้าพเจ้าเลื่อนการเดินทางไปอีก 3 วัน พอวันรุ่งขึ้นก็เกิดเรื่อง ถ้าข้าพเจ้าไปเยอรมันตอนนั้นแล้ว เรื่องคงผันแปรไปหมด และจะวิ่งไปขอให้ท่านผู้ใหญ่ช่วยก็คงไม่ทัน" ถาวรบันทึกถึงจังหวะชีวิตเลวร้ายช่วงนี้ไว้

ผู้ใหญ่ที่ช่วยเหลือถาวรในตอนนั้นมี สัญญา ยมสมิต สหัส มหาคุณ และจงกลณี จันทรสาขาซึ่งเป็นน้องท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ เป็นผู้พาถาวรไปพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

"ตอนนั้น ท่านจอมพลเป็นประธานของธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของตั้งท่งฮวดเมื่อข้าพเจ้าไปเรียนเรื่องราวให้ท่านทราบ และขอความช่วยเหลือจากท่านแล้ว ท่านพูดว่าท่านจะช่วย แต่ต้องให้ข้าพเจ้ารับรองว่าข้าพเจ้าจะต้องไปช่วยควบคุมด้วย ข้าพเจ้าก็รับปาก และท่านถามว่าจะทำกันต่อไปไหวหรือ ข้าพเจ้าก็ตอบว่า ไปไหว แต่อยู่ที่ท่านคนเดียวเท่านั้นที่จะให้รอดหรือไม่รอด เพราะท่านเปรียบเสมือนหมอ ถ้าหมอช่วยก็ไปรอดแล้วท่านก็รับปากว่าจะดูให้" ถาวรเล่าให้ฟังถึงการแก้ไขสถานการณ์

จากการแก้ไขปัญหาทีละเปลาะ ถาวรได้วิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ที่มีอำนาจ ในคดีความที่สินธุ์ พรประภาพี่ชายของตนและกิจการตั้งท่งฮวดถูกใส่ร้าย โดยปรึกษากับเฉลิม เชี่ยวสกุล ซึ่งคบหาสนิทกันมานาน

"คุณเฉลิมพาไปหาท่าน ประมาณ อดิเรกสารที่บ้านข้าพเจ้าจำได้ว่า ตอนที่ข้าพเจ้าไปท่านประมาณนั้น ท่านกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนในบ้าน ข้าพเจ้าไปเล่าเรื่องที่เป็นจริงให้ฟังและพูดว่า "พรุ่งนี้ ผมจะปิดบริษัทหมด เพราะแผ่นดินนี้มืดเสียแล้ว" เพราะคนที่โกงเขาแล้วยังไปแจ้งตำรวจ ท่านประมาณจึงพาไปหาพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ซึ่งขณะนั้นท่านเป็นอธิบดีกรมตำรวจ ตอนแรกคุณเผ่าก็ต่อว่าข้าพเจ้าโดยท่านเข้าใจว่าข้าพเจ้าเป็นคนทำให้เสียหาย แต่หลังจากได้เรียนชี้แจงให้ท่านเข้าใจเรื่องที่เป็นจริงแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้รับความกรุณาช่วยเหลือจากท่าน"

ผู้มีพระคุณที่ถาวรจะลืมไม่ลงอีกคนหนึ่งก็คือ เจ้าสัวอื้อจือเหลียง มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งในยุคนั้น ในยามวิกฤตครั้งที่สองที่ถาวรต้องเผชิญปัญหาข่าวลือสะพัดในวงการค้าว่าบริษัทในเมืองไทย 6 บริษัทจะล้มละลายในจำนวนนี้มีบริษัทสยามกลการอยู่ด้วย

นอกจากนี้ถาวรยังถูกกลวิธีปล่อยข่าวแกล้งด้วยว่าถาวรหนีไปอยู่เวียงจันทร์ ประเทศลาวแล้ว ปิยะ ภิกยาธร พนักงานชั้นผู้ใหญ่ของธนาคารกรุงเทพได้โทรศัพท์มาเล่าให้ถาวรฟังแล้วถามว่ารู้ไหม เขาพูดกันอย่างนี้ ถาวรก็ตอบว่า

"ข้าพเจ้ารู้แล้ว และคนที่ปล่อยข่าวแกล้งพวกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็พอทราบว่าเป็นพวกทำงานธนาคาร นายธนาคารบางท่านได้บอกกับข้าพเจ้าว่า เรื่องที่เขาลือกันนี้ได้ท้าพนันไปแล้ว 1 ต่อ 100 ถ้าเป็นจริงจะให้ 1 ล้านบาท ข่าวนี้เป็นการทำความปั่นป่วนในวงการธุรกิจเป็นอย่างมาก เจ้าสัวอื้อจือเหลียงนี้ข้าพเจ้าเคารพท่านมาก และท่านก็เมตตากับข้าพเจ้า หลังจากที่มีข่าวแพร่ออกไปแล้ว วันหนึ่งท่านได้มาหาข้าพเจ้าที่บริษัทและบอกข้าพเจ้าว่า "ถาวร อั๊วกำลังจะไปปีนัง แต่อั๊วสั่งอุเทนไว้แล้วว่าถ้าต้องการใช้เงิน 30-40 ล้านบาท ก็ให้ไปเอา" ข้าพเจ้าขอบพระคุณท่านบอกท่านว่าตอนนี้ยังไม่เป็นไรถาวรบันทึกบุญคุณครั้งนี้ไว้

การที่ถาวรมีผู้ใหญ่ที่มีอำนาจและอิทธิพลทั้งด้านการเมืองเศรษฐกิจและสังคมเป็นเกราะป้องกันภัยคุกคามกิจการสยามกลการ ทำให้ถาวรดำเนินนโยบายแต่งตั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ปลดเกษียณแล้วมาเป็นที่ปรึกษาบริษัทในหลายยุคสมัยติดต่อกัน ถาวรได้ให้เหตุผลแห่งการกระทำนี้ว่า

"วิธีที่ข้าพเจ้าเชิญผู้มีอายุมาก ซึ่งเคยรับราชการในตำแหน่งชั้นผู้ใหญ่ของรัฐบาล หรือเคยเป็นพนักงานชั้นผู้ใหญ่ในวงการธุรกิจการค้ามาแล้วมาเป็นที่ปรึกษา จึงเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าคิดว่าถูกต้อง บริษัทในต่างประเทศก็ตั้งพวกที่ปลดเกษียณอายุแล้วมาเป็นที่ปรึกษาเช่นกัน ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องสามก๊ก การให้แม่ทัพแบบลิโป้ หรือเตียวหุย ซึ่งมีแต่กำลังแต่ไม่มีปัญญาไปรบนั้นจะสู้ให้คนที่มีกำลังและปัญญาเช่นจูล่งไปรบไม่ได้" ถาวรเล่าให้ฟัง

ผลการสนับสนุนและเป็นผู้หนึ่งที่ริเริ่มสมาคมอุตสาหกรรมไทย ก็ทำให้ถาวรมีโอกาสใกล้ชิดกับวรการเศรษฐกิจทั้งภายในภาคเอกชนและภาครัฐบาลเสมอมา บทบาทของ "สยามกรุ๊ป" ในปัจจุบันจึงมีอยู่สูงมากในสาขากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และคอนเนกชั่นที่ถาวรได้สานไว้ก็สืบต่อมาถึงคนรุ่นหลัง

นอกจากเหตุวิกฤตที่เกิดกับกิจการงานแล้ว ในชีวิตส่วนตัวของถาวร พรประภาที่ต้องประสบรุนแรงก็มี คราวหนึ่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ถาวรได้นั่งเครื่องบินจากไคโรไปอิตาลีเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องบิน ประกาศห้ามมิให้ผู้โดยสารแตะต้องสวิตช์ไฟฟ้าทุกอัน ถ้าแตะต้องเครื่องบินจะระเบิดทันที ทุกคนตกใจมาก สวดมนต์ไหว้พระกันหมด ฝรั่งก็ไหว้พระด้วย จนกระทั่งเครื่องบินย้อนกลับมาลงไคโรโดยปลอดภัย

อีกครั้งหนึ่ง ถาวรได้เล่าให้ฟังว่า ไปชมโรงงานทอผ้าในญี่ปุ่นกับประมาณ อดิเรกสาร ขณะที่เดินอยู่ในโรงงาน เกิดอุบัติเหตุ กระสวยทองเหลืองแหลมยาวประมาณ 12 นิ้วหลุดจากเครื่องทอผ้ามาชนหน้าอกตนเอง

"เดชะบุญในขณะนั้นอะไรไม่ทราบ ทำให้ข้าพเจ้าเอี้ยวตัวไปข้าง ๆ เล็กน้อย ดังนั้นกระสวยที่วิ่งมาชนจึงชนหน้าอกข้าพเจ้าไม่ตรงนัก ประกอบกับตรงที่หน้านั้นเป็นกระเป๋าเสื้อที่ข้าพเจ้าใส่หนังสือเดินทางไว้ กระสวยเจาะตรงตราครุฑของหนังสือเดินทางพอดี จะพูดว่าครุฑช่วยข้าพเจ้าไว้ก็ไม่ผิด" นับว่าเป็นความโชคดีของถาวร

ถาวรเคยประสบอุบัติเหตุรถยนต์ถึงสามครั้งสามคราแต่ก็รอดตายได้อย่างหวุดหวิด ครั้งหนึ่งที่ถาวรได้บันทึกไว้ตอนที่ไปซื้อรถยนต์สหประชาชาติที่สิงคโปร์ได้นั่งรถไป 2 คนกับเพื่อนชื่อลิ่มกีตง ซึ่งต่อมาเป็นญาติกับปริญญาน้องชายถาวร ขณะนั้นฝนตกหนัก ถนนลื่นทำให้ เกิดอุบัติเหตุรถหมุน รถเกือบตกหน้าผาที่ยะโฮบารู มาเลเซีย จุดที่ล้อรถหยุดห่างจากขอบหน้าผาสูงไม่กี่นิ้ว

"ครั้งที่สอง รถโกดังวิ่งมาชนรถข้าพเจ้าที่สี่แยกบางนาตราด จุดที่ชนอยู่ตรงกลางตัวรถที่ข้าพเจ้านั่ง ผู้ที่เห็นเหตุการณ์นึกว่าข้าพเจ้าคงแย่แล้ว เดชะบุญรอดไปได้อีกถ้านั่งผิดที่ไปอีก 5 นิ้ว ทางข้างหน้าหรือข้างหลังก็ต้องโดยเหล็กทิ่มลำตัวข้าพเจ้าไปทำบาดแผลเล็กน้อยที่โรงพยาบาลเท่านั้น" ถาวรเล่าให้ฟังถึงอุบัติเหตุ

และรถนิสสัน PRESIDENT คันที่ถาวรนั่งไปในวันนั้นถาวรก็ได้นำมาซ่อมแล้วเก็บไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย ถึงกระนั้นก็ตามอุบัติเหตุครั้งที่สามก็เกิดขึ้นอีก

"ครั้งนี้เกิดขณะที่นั่งรถยนต์ไปพัทยา มีคุณอุษาและพรทิพย์ ลูกสาวนั่งไปด้วย มีรถวิ่งมาชนรถที่นั่งอยู่ ทำให้รถหมุนไป 3 รอบ เดชะบุญรถไม่คว่ำ เลยไม่มีใครเป็นอันตรายในเรื่องอุบัติเหตุนี้ หมอดูหลายคนบอกว่าข้าพเจ้าน่าจะตายไปแล้ว"

ณ วันนี้ ถาวรอายุ 76 ปี แลเห็นความเปลี่ยนแปลงอันไม่แน่นอนของชะตาชีวิตและเหตุการณ์เศรษฐกิจบ้านเมือง ที่ตนเองไม่อาจจะลงมือกระทำได้ แต่ได้มอบภารกิจนี้แก่ทายาทรุ่นหลังต่อมาที่เปลี่ยนแปลงโฉมสยามกลการที่มีอายุ 40 ปีภายใต้ชื่อเรียกใหม่ของกลุ่มว่า "สยามกรุ๊ป"



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.