"อภิรักษ์ วานิช-เขากำลังเดินรอยตามเอกพจน์"


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2535)



กลับสู่หน้าหลัก

ด้วยวัยแค่ 27 ปีเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ใครจะนึกว่าเด็กหนุ่มอย่างอภิรักษ์ วานิช จะต้องมารับภาระของธุรกิจตระกูล "วานิช" ที่ยังไม่มีใครประเมินมูลค่าทรัพย์สินแน่นอนได้

"สินทรัพย์ของทั้งเครือคงมีประมาณ 1,000 ล้านบาท" อภิรักษ์บอกกับ "ผู้จัดการรายเดือน" ถึงสิ่งที่หลายคนปรารถนาที่จะรู้

อย่างไรก็ตาม "ผู้จัดการ" ได้รับการบอกกว่าวว่าการประเมินสินทรัพย์ดังกล่าวของอภิรักษ์นั้น เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่า "ความเป็นจริง" มากเพราะตระกูลวานิชมีสินทรัพย์มหาศาล ที่ว่ากันว่าเฉพาะที่ดินก็เกิน 1,000 ล้านบาทแน่นอน

สาเหตุที่อภิรักษ์จะต้องรับภาระเป็นแกนนำในการบริหารงานในเครือวานิชทั้งหมดนั้นก็เนื่องมาจากการเสียชีวิตของ "เอกพจน์ วานิช" อัครมหาเศรษฐีคนหนึ่งของเมืองภูเก็ตเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ในอดีต เอ่ยชื่อของเอกพจน์ วานิช ไม่เพียงคนในภูเก็ตเท่านั้น ที่รู้จักคน ๆ นี้แต่กล่าวกันว่า ในภาคใต้ตอนล่างจนถึงปีนัง ชื่อของเอกพจน์ดังไม่แพ้ใครในภูมิภาคแถบนี้ ด้วยรากฐานที่ "เจียร วานิช" บรรพบุรุษแห่งตระกูลวานิชวางเอาไว้ จนกลายเป็นตระกูลที่รวยที่ดินและเงินสดไม่แพ้ใคร

อย่างไรก็ตาม การปิดฉากชีวิตนักสู้ของเอกพจน์ลงด้วยโรคร้ายในวัยแค่ 58 ก็เป็นการปิดตำนานและฉากชีวิตของตระกูลวานิช รุ่นที่ 2 ลงด้วย เนื่องจากเอกพจน์เป็นทายาทคนเดียวของเถ้าแก่เจียร

"สิ้นเถ้าแก่เจียร มีนายหัวเอก (เอกพจน์)" ครั้งหนึ่งคนภูเก็ตและพังงาเคยกล่าวประโยคนี้ เมื่อคราวที่เจียร วานิชถึงแก่กรรม แต่หลายคนยังมั่นใจว่า เอกพจน์คงจะสามารถที่จะรักษาความเป็น "วานิช" เอาไว้ เพราะคน ๆ นี้เคยพิสูจน์ให้หลายคนเห็นมาแล้ว

แต่กับอภิรักษ์ วานิช ไม่มีใครมั่นใจเขาเลย

อาจด้วยเหตุผลว่าเขามีวัยเพียง 27 เท่านั้น

อภิรักษ์ วานิช คนที่ใคร ๆ ก็รอดูการพิสูจน์ฝีมือของเขาอยู่ ว่าเหมาะสมที่จะนั่งบัลลังก์ผู้นำตระกูล "วานิช" หรือไม่นี้ จะต้องแสดงให้ทุกคนเห็นว่า การเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งจากเอกพจน์ก่อนที่จะเสียชีวิตนั้น นอกจากความเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวแล้ว เขายังมีความเหมาะสมด้วยปัจจัยอื่น ๆ ด้วย

สำหรับเอกพจน์ วานิชนั้น มีทายาททั้งสิ้น 9 คนคือ พจนา กาญจนา พรชฎา อัฌชา (เสียชีวิตแล้ว) อังคณา อัญชลี อรนุช อภิรักษ์และรจนา

แม้หลายคนกำลังวิตกว่าอาจจะมี "ศึกสายเลือด" ในตระกูลนี้ขึ้นมา เนื่องจากการเสียชีวิตของเอกพจน์ แต่ในส่วนของทายาทกลับไม่มีใครวิตกเรื่องนี้ อาจจะด้วยเหตุผลที่ความชอบของแต่ละคนต่างกัน

"แต่ละคนจะมีนิสัยต่างกัน บางคนชอบงานบริหาร บางคนชอบงานรูทีน อย่างพี่สาวคนโตแต่งงานแล้วคุมงานที่โรงพยาบาลที่ชลบุรี (โรงพยาบาลเอกชล) พรชฎาเขาก็ไปอยู่ที่สิงคโปร์เพราะไปเรียนที่นั่นตั้งแต่เด็กและพูดภาษาจีนได้" อังคณา วานิช ทายาทสาวผู้รับผิดชอบงานธุรกิจด้านเรียลเอสเตทของตระกูลเคยกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงนิสัยของแต่ละคน

อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้เป็นที่รู้กันแล้วว่า ผู้ที่จะมารับผิดชอบงานทั้งหมดในฐานะประธานของธุรกิจตระกูลวานิชนั้นคือ อภิรักษ์ วานิช ทายาทชายเพียงคนเดียวในรุ่นที่ 3 ของวานิช

อภิรักษ์ยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่าหนักใจกับงานนี้ !!

"คงมีความกดดันไม่มากนัก เพราะหากบอกไม่มีเลยก็คงจะเป็นการโกหกกันที่ว่าไม่มาก เพราะคุณวุฒิผมไม่ด้อยกว่าใครแต่วัยวุฒิและความเป็น SENIORITY ในเมืองไทยยังมีผลต่อการทำงานอยู่มากผมคงจะต้องใช้เวลาอีกซักพักเพื่อสร้างบารมี จะให้เรามาเทียบกับคุณปู่-คุณพ่อยังไม่ได้ต้องใช้เวลาพิสูจน์" อภิรักษ์กล่าว

ความเป็นทายาทของวานิชสำหรับรุ่นที่ 3 ของอภิรักษ์ดูเหมือนว่าจะถูกวางไว้ตั้งแต่ยังอยู่ในวันเด็ก เนื่องจากเมื่อเริ่มเรียนหนังสือในภูเก็ตได้เพียงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนไทยหัว เขาก็ถูกเจียร วานิช ซึ่งเป็นปู่จับส่งไปเรียนที่สิงคโปร์ทันที เพื่อให้เรียนรู้ภาษาจีนและภาษาอังกฤษจนกระทั่งจบมัธยมปลาย

จากนั้น อภิรักษ์ถูกจับส่งข้ามทะเลไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยอินเดียน่าสหรัฐอเมริกา และเดินทางกลับมาทำงานในบริษัท เจียรวานิช

"นายหัว (เอกพจน์ วานิช) ต้องการให้คุณอภิรักษ์กลับมาในตอนนั้น ก็เพื่อให้เรียนรู้งาน และเพื่อให้รู้จักสังคมและนักธุรกิจหรือคนรุ่นเดียวกันในภูเก็ตบ้าง เพราะคุณอภิรักษ์ไปเรียนนอกตั้งแต่เด็ก เลยไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกันในภูเก็ต นายหัวเกรงว่า หากในอนาคตเมื่อทำงานแล้ว คุณอภิรักษ์จะขาดเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกัน" คนเก่าแก่ในภูเก็ตที่รู้จักตระกูลวานิชเล่าให้ฟัง

อย่างไรก็ตามอภิรักษ์ทำงานในเจียรวานิชได้เพียงปีเศษ ก็ต้องเดินทางไปศึกษาต่ออีกครั้ง และจบการศึกษา MBA จากมหาวิทยาลัยอินเดียน่าเมื่อปี 2533 โดยใช้เวลาเรียนปีเศษ

จากปี 2533 หลังจากที่จบการศึกษา MBA ถึงวันนี้อภิรักษ์ ก้าวขึ้นรับตำแหน่งประธานบริษัท ด้วยวัยเพียง 27 และทำงานเพียง 3 ปีเศษ แต่เจ้าตัวยืนยันว่าจะไม่มีปัญหาในการทำงาน เพราะจากนี้ไประบบการทำงานของวานิช ในฐานะประธานบริษัทในเครือจำนวน 10 บริษัท ประกาศว่า จะเป็น TERM WORK หรือ GROUP WORK และจะยังคง CONSERVATIVE ตามนโยบายเดิมที่รุ่นของเจียรและเอกพจน์วางไว้

"ความจริง งานต่าง ๆ นั้น คุณพ่อให้ลูก ๆ บริหารกันมาเกือบ 10 ปีแล้ว อย่างผมแม้จะทำงานมาแค่ 3 ปี ก็คิดว่ามีพื้นฐานแล้ว" ประธานวานิชคนใหม่กล่าวและย้ำว่าระบบอาวุโส โดยเฉพาะเพื่อนของเอกพจน์จะยังคงมีบทบาทในฐานะเป็นที่ปรึกษาต่อไปโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอสถ โกสิน เพื่อนของเจียร วานิช ที่เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของตระกูลวานิชมานาน และเป็นหนึ่งใน BOARD ของบริษัทในเครือของวานิชบางบริษัทด้วย

นอกจากนี้ อภิรักษ์ยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่าเพื่อนของเอกพจน์ที่เป็นนักการเมืองหลายคน ตนและทายาทคนอื่น ๆ ก็คงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องการให้คำปรึกษาต่าง ๆ

"ผมก็เคารพเพื่อนของคุณพ่อที่เป็นนักการเมือง ในเรื่องความช่วยเหลือและคำปรึกษา เพราะผมยังมีประสบการณ์น้อยกว่าคุณพ่อมาก" อภิรักษ์กล่าว พร้อมทั้งยอมรับว่าเพื่อนของเอกพจน์ส่วนใหญ่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคที่มี ส.ส. ในภาคใต้มากที่สุดนั่นเอง

สำหรับการเริ่มงานในฐานะประธานกลุ่มวานิชนั้น อภิรักษ์กล่าวว่า จะยังคงดำเนินตามที่เอกพจน์เคยกระทำคือมีการประชุมทุกเดือน และพิเศษทุกไตรมาส เพื่อหาข้อสรุปในการตัดสินใจ พร้อมทั้งย้ำว่า "วานิช" จะยังคงให้ความสำคัญกับการเป็นบริษัทในตระกูลมากกว่าการเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนั้น ในส่วนของคนตระกูล "วานิช" นั้นอภิรักษ์ยืนยันว่า จะยังคงมีการรวมตัวกันตามที่เอกพจน์เคยสั่งไว้ นั่นคือ ในทุกเช้าทุกคนจะเจอกันที่ "บ้านวานิช" ของตระกูล "แต่ก็คงมีบ้างที่บางคนอาจจะมุ่งไปทางธุรกิจของตนเองโดยไม่ค่อยจะเข้ามาช่วยงานครอบครัว ซึ่งก็เป็นกันทุกที่ ไม่ได้หมายถึงการแตกแยก"

ดูเหมือนว่าตระกูล "วานิช" มีเครือข่ายธุรกิจมากมายแล้ว แต่ในส่วนของประธานหนุ่มวัย 27 ยังคิดว่า มีเพียงสนามกอล์ฟเท่านั้น ที่วาณิชยังไม่ได้ทำ แต่คิดว่าอีก 2-3 ปีอาจจะมีสนามกอล์ฟของวานิชเนื่องจากเอกพจน์นั้น เป็นคนที่ได้ชื่อว่ารักกอล์ฟคนหนึ่งและเป็นนายกสมาคมกอล์ฟจังหวัดภูเก็ตอีกด้วย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.