ด้วยวัยแค่ 27 ปีเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ใครจะนึกว่าเด็กหนุ่มอย่างอภิรักษ์
วานิช จะต้องมารับภาระของธุรกิจตระกูล "วานิช" ที่ยังไม่มีใครประเมินมูลค่าทรัพย์สินแน่นอนได้
"สินทรัพย์ของทั้งเครือคงมีประมาณ 1,000 ล้านบาท" อภิรักษ์บอกกับ
"ผู้จัดการรายเดือน" ถึงสิ่งที่หลายคนปรารถนาที่จะรู้
อย่างไรก็ตาม "ผู้จัดการ" ได้รับการบอกกว่าวว่าการประเมินสินทรัพย์ดังกล่าวของอภิรักษ์นั้น
เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่า "ความเป็นจริง" มากเพราะตระกูลวานิชมีสินทรัพย์มหาศาล
ที่ว่ากันว่าเฉพาะที่ดินก็เกิน 1,000 ล้านบาทแน่นอน
สาเหตุที่อภิรักษ์จะต้องรับภาระเป็นแกนนำในการบริหารงานในเครือวานิชทั้งหมดนั้นก็เนื่องมาจากการเสียชีวิตของ
"เอกพจน์ วานิช" อัครมหาเศรษฐีคนหนึ่งของเมืองภูเก็ตเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ในอดีต เอ่ยชื่อของเอกพจน์ วานิช ไม่เพียงคนในภูเก็ตเท่านั้น ที่รู้จักคน
ๆ นี้แต่กล่าวกันว่า ในภาคใต้ตอนล่างจนถึงปีนัง ชื่อของเอกพจน์ดังไม่แพ้ใครในภูมิภาคแถบนี้
ด้วยรากฐานที่ "เจียร วานิช" บรรพบุรุษแห่งตระกูลวานิชวางเอาไว้
จนกลายเป็นตระกูลที่รวยที่ดินและเงินสดไม่แพ้ใคร
อย่างไรก็ตาม การปิดฉากชีวิตนักสู้ของเอกพจน์ลงด้วยโรคร้ายในวัยแค่ 58
ก็เป็นการปิดตำนานและฉากชีวิตของตระกูลวานิช รุ่นที่ 2 ลงด้วย เนื่องจากเอกพจน์เป็นทายาทคนเดียวของเถ้าแก่เจียร
"สิ้นเถ้าแก่เจียร มีนายหัวเอก (เอกพจน์)" ครั้งหนึ่งคนภูเก็ตและพังงาเคยกล่าวประโยคนี้
เมื่อคราวที่เจียร วานิชถึงแก่กรรม แต่หลายคนยังมั่นใจว่า เอกพจน์คงจะสามารถที่จะรักษาความเป็น
"วานิช" เอาไว้ เพราะคน ๆ นี้เคยพิสูจน์ให้หลายคนเห็นมาแล้ว
แต่กับอภิรักษ์ วานิช ไม่มีใครมั่นใจเขาเลย
อาจด้วยเหตุผลว่าเขามีวัยเพียง 27 เท่านั้น
อภิรักษ์ วานิช คนที่ใคร ๆ ก็รอดูการพิสูจน์ฝีมือของเขาอยู่ ว่าเหมาะสมที่จะนั่งบัลลังก์ผู้นำตระกูล
"วานิช" หรือไม่นี้ จะต้องแสดงให้ทุกคนเห็นว่า การเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งจากเอกพจน์ก่อนที่จะเสียชีวิตนั้น
นอกจากความเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวแล้ว เขายังมีความเหมาะสมด้วยปัจจัยอื่น
ๆ ด้วย
สำหรับเอกพจน์ วานิชนั้น มีทายาททั้งสิ้น 9 คนคือ พจนา กาญจนา พรชฎา อัฌชา
(เสียชีวิตแล้ว) อังคณา อัญชลี อรนุช อภิรักษ์และรจนา
แม้หลายคนกำลังวิตกว่าอาจจะมี "ศึกสายเลือด" ในตระกูลนี้ขึ้นมา
เนื่องจากการเสียชีวิตของเอกพจน์ แต่ในส่วนของทายาทกลับไม่มีใครวิตกเรื่องนี้
อาจจะด้วยเหตุผลที่ความชอบของแต่ละคนต่างกัน
"แต่ละคนจะมีนิสัยต่างกัน บางคนชอบงานบริหาร บางคนชอบงานรูทีน อย่างพี่สาวคนโตแต่งงานแล้วคุมงานที่โรงพยาบาลที่ชลบุรี
(โรงพยาบาลเอกชล) พรชฎาเขาก็ไปอยู่ที่สิงคโปร์เพราะไปเรียนที่นั่นตั้งแต่เด็กและพูดภาษาจีนได้"
อังคณา วานิช ทายาทสาวผู้รับผิดชอบงานธุรกิจด้านเรียลเอสเตทของตระกูลเคยกล่าวกับ
"ผู้จัดการ" ถึงนิสัยของแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้เป็นที่รู้กันแล้วว่า ผู้ที่จะมารับผิดชอบงานทั้งหมดในฐานะประธานของธุรกิจตระกูลวานิชนั้นคือ
อภิรักษ์ วานิช ทายาทชายเพียงคนเดียวในรุ่นที่ 3 ของวานิช
อภิรักษ์ยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่าหนักใจกับงานนี้ !!
"คงมีความกดดันไม่มากนัก เพราะหากบอกไม่มีเลยก็คงจะเป็นการโกหกกันที่ว่าไม่มาก
เพราะคุณวุฒิผมไม่ด้อยกว่าใครแต่วัยวุฒิและความเป็น SENIORITY ในเมืองไทยยังมีผลต่อการทำงานอยู่มากผมคงจะต้องใช้เวลาอีกซักพักเพื่อสร้างบารมี
จะให้เรามาเทียบกับคุณปู่-คุณพ่อยังไม่ได้ต้องใช้เวลาพิสูจน์" อภิรักษ์กล่าว
ความเป็นทายาทของวานิชสำหรับรุ่นที่ 3 ของอภิรักษ์ดูเหมือนว่าจะถูกวางไว้ตั้งแต่ยังอยู่ในวันเด็ก
เนื่องจากเมื่อเริ่มเรียนหนังสือในภูเก็ตได้เพียงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่
4 ที่โรงเรียนไทยหัว เขาก็ถูกเจียร วานิช ซึ่งเป็นปู่จับส่งไปเรียนที่สิงคโปร์ทันที
เพื่อให้เรียนรู้ภาษาจีนและภาษาอังกฤษจนกระทั่งจบมัธยมปลาย
จากนั้น อภิรักษ์ถูกจับส่งข้ามทะเลไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยอินเดียน่าสหรัฐอเมริกา
และเดินทางกลับมาทำงานในบริษัท เจียรวานิช
"นายหัว (เอกพจน์ วานิช) ต้องการให้คุณอภิรักษ์กลับมาในตอนนั้น ก็เพื่อให้เรียนรู้งาน
และเพื่อให้รู้จักสังคมและนักธุรกิจหรือคนรุ่นเดียวกันในภูเก็ตบ้าง เพราะคุณอภิรักษ์ไปเรียนนอกตั้งแต่เด็ก
เลยไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกันในภูเก็ต นายหัวเกรงว่า หากในอนาคตเมื่อทำงานแล้ว
คุณอภิรักษ์จะขาดเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกัน" คนเก่าแก่ในภูเก็ตที่รู้จักตระกูลวานิชเล่าให้ฟัง
อย่างไรก็ตามอภิรักษ์ทำงานในเจียรวานิชได้เพียงปีเศษ ก็ต้องเดินทางไปศึกษาต่ออีกครั้ง
และจบการศึกษา MBA จากมหาวิทยาลัยอินเดียน่าเมื่อปี 2533 โดยใช้เวลาเรียนปีเศษ
จากปี 2533 หลังจากที่จบการศึกษา MBA ถึงวันนี้อภิรักษ์ ก้าวขึ้นรับตำแหน่งประธานบริษัท
ด้วยวัยเพียง 27 และทำงานเพียง 3 ปีเศษ แต่เจ้าตัวยืนยันว่าจะไม่มีปัญหาในการทำงาน
เพราะจากนี้ไประบบการทำงานของวานิช ในฐานะประธานบริษัทในเครือจำนวน 10 บริษัท
ประกาศว่า จะเป็น TERM WORK หรือ GROUP WORK และจะยังคง CONSERVATIVE ตามนโยบายเดิมที่รุ่นของเจียรและเอกพจน์วางไว้
"ความจริง งานต่าง ๆ นั้น คุณพ่อให้ลูก ๆ บริหารกันมาเกือบ 10 ปีแล้ว
อย่างผมแม้จะทำงานมาแค่ 3 ปี ก็คิดว่ามีพื้นฐานแล้ว" ประธานวานิชคนใหม่กล่าวและย้ำว่าระบบอาวุโส
โดยเฉพาะเพื่อนของเอกพจน์จะยังคงมีบทบาทในฐานะเป็นที่ปรึกษาต่อไปโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
โอสถ โกสิน เพื่อนของเจียร วานิช ที่เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของตระกูลวานิชมานาน
และเป็นหนึ่งใน BOARD ของบริษัทในเครือของวานิชบางบริษัทด้วย
นอกจากนี้ อภิรักษ์ยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่าเพื่อนของเอกพจน์ที่เป็นนักการเมืองหลายคน
ตนและทายาทคนอื่น ๆ ก็คงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในเรื่องการให้คำปรึกษาต่าง ๆ
"ผมก็เคารพเพื่อนของคุณพ่อที่เป็นนักการเมือง ในเรื่องความช่วยเหลือและคำปรึกษา
เพราะผมยังมีประสบการณ์น้อยกว่าคุณพ่อมาก" อภิรักษ์กล่าว พร้อมทั้งยอมรับว่าเพื่อนของเอกพจน์ส่วนใหญ่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคที่มี
ส.ส. ในภาคใต้มากที่สุดนั่นเอง
สำหรับการเริ่มงานในฐานะประธานกลุ่มวานิชนั้น อภิรักษ์กล่าวว่า จะยังคงดำเนินตามที่เอกพจน์เคยกระทำคือมีการประชุมทุกเดือน
และพิเศษทุกไตรมาส เพื่อหาข้อสรุปในการตัดสินใจ พร้อมทั้งย้ำว่า "วานิช"
จะยังคงให้ความสำคัญกับการเป็นบริษัทในตระกูลมากกว่าการเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
นอกจากนั้น ในส่วนของคนตระกูล "วานิช" นั้นอภิรักษ์ยืนยันว่า
จะยังคงมีการรวมตัวกันตามที่เอกพจน์เคยสั่งไว้ นั่นคือ ในทุกเช้าทุกคนจะเจอกันที่
"บ้านวานิช" ของตระกูล "แต่ก็คงมีบ้างที่บางคนอาจจะมุ่งไปทางธุรกิจของตนเองโดยไม่ค่อยจะเข้ามาช่วยงานครอบครัว
ซึ่งก็เป็นกันทุกที่ ไม่ได้หมายถึงการแตกแยก"
ดูเหมือนว่าตระกูล "วานิช" มีเครือข่ายธุรกิจมากมายแล้ว แต่ในส่วนของประธานหนุ่มวัย
27 ยังคิดว่า มีเพียงสนามกอล์ฟเท่านั้น ที่วาณิชยังไม่ได้ทำ แต่คิดว่าอีก
2-3 ปีอาจจะมีสนามกอล์ฟของวานิชเนื่องจากเอกพจน์นั้น เป็นคนที่ได้ชื่อว่ารักกอล์ฟคนหนึ่งและเป็นนายกสมาคมกอล์ฟจังหวัดภูเก็ตอีกด้วย