เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีบริษัทเอกชนที่ผลิตสินค้าในประเทศไทยยื่นเรื่องต่อกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์
กระทรวงพาณิชย์โดยแจ้งว่า มีบริษัทต่างประเทศหลายบริษัทส่งสินค้าเข้ามาขายในประเทศไทย
ด้วยราคาต่ำกว่าต้นทุน อันถือว่าเป็นการทุ่มตลาดส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่สภาพตลาดการกำหนดราคา
และผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันภายในประเทศ
อดีตซึ่งอยู่ในยุคในช่วงที่จอมพลถนอม กิตติขจรเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาดขึ้น
และได้ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2507 ซึ่งมีทั้งหมด
16 มาตรา
มีมาตราที่กล่าวถึง ความหมายของการทุ่มตลาด, ราคาปกติของสินค้าและการเก็บอากรการทุ่มตลาด
อยู่เพียง 2 มาตรา ส่วนอีก 14 มาตรา ที่เหลือ เป็นเรื่องการแต่งตั้งกรรมการและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2508 ได้มีการออกกฎกระทรวงตามกฎหมายนี้มาหนึ่งฉบับ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับบัตรประจำตัวกรรมการ
และพนักงาน เจ้าหน้าที่ พระราชบัญญัตินี้จึงถูกลืมมิได้บังคับใช้โดยปริยาย
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2534 ได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาดและตอบโต้การช่วยอุดหนุน
พ.ศ. 2534 ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยเล็งเห็นว่าเพื่อเป็นการรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในโลกการค้าเพราะการใช้มาตรการตอบโต้การปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม
มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
เนื่องจากการขยายตัวทางการค้าระหว่างประเทศ และอีกประการหนึ่งกฎหมายฉบับนี้
จะทำให้ภาคเอกชนของไทยจะสามารถร้องเรียนต่อกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเรียกเก็บอากรป้องกันการทุ่มตลาดซึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้กับบริษัทในประเทศที่มีการทุ่มตลาดไม่ว่าจะเป็นการแก้ต่างข้อกล่าวหา,
การเสียอากร หรือการถูกประณามจากประเทศอื่นก็ตาม
การเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด ถือเสมือนเป็นการใช้ภาษีศุลกากรอย่างหนึ่ง
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีบทบัญญัติและวิธีปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎกติกาการค้าของโลกอย่างเป็นธรรม
เพราะมิฉะนั้นแล้ว อาจมีการนำมาตรการนี้ไปใช้เป็นมาตรการการกีดกันทางการค้านอกกรอบของมาตรการการกีดกันทางการค้า
ซึ่งกระทำได้ตามมาตรา 6 ของ "ข้อตกลงทางการค้าและภาษีศุลกากร"
(GATT)
โดยมาตรา 6 ของแกตต์ ได้ระบุถึงลักษณะการช่วยการแข่งขันในการค้า 2 ประเภท
คือ การป้องกันการทุ่มตลาดและการเก็บภาษีตอบโต้ (COUNTERVAILING DUTLES)
หรือ GVD ในกรณีที่มีการช่วยอุดหนุน
ตามมาตรา 6 นี้ ถ้าพิจารณาในลักษณะหนึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าวิธีการนี้เป็นข้อยกเว้นที่อนุญาตให้ภาคีสมาชิกทำการตอบโต้โดยไม่ขัดต่อแกตต์
แต่ในขณะเดียวกัน การที่มาตรานี้ระบุสถานการณ์ที่จะใช้ข้อยกเว้นเอาไว้ค่อนข้างจำกัดและระมัดระวังมาก
มาตรานี้จึงเป็นการสร้างข้อผูกพัน ให้กับภาคีสมาชิกของแกตต์ในการใช้หลักป้องกันการทุ่มตลาดด้วยเช่นกัน
ในเรื่องการทุ่มตลาดนั้น มีสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือ ประการแรก อะไรคือการทุ่มตลาด
ประการที่สองคือเรื่องความเสียหาย ประการที่สามคือ ข้อจำกัดในการตอบโต้
อะไรคือการทุ่มตลาด
ข้อสังเกตที่สำคัญคือ การทุ่มตลาดนั้นโดยตัวของตัวเองไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะตอบโต้ได้แต่ต้องมีการทุ่มตลาดและความเสียหาย
ซึ่งเป็นองค์ประกอบ 2 ประการประกอบกันจึงจะถือเป็นกรณีที่จะให้มีการตอบโต้ได้
ในมาตรา 6 นั้น ได้ให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า "การทุ่มตลาด" หมายถึง
การที่สินค้าของประเทศหนึ่งได้ถูกนำเข้าไปในอีกประเทศหนึ่งในราคาที่ต่ำกว่าราคาหรือค่าปกติของสินค้านั้น
(LESS THAN THE NOMAL VALUE) และได้ระบุต่อไปว่าการกระทำดังกล่าวนั้นสมควรจะมีการประณามถ้าก่อ
หรือคุกคามที่จะให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมในประเทศที่สอง
หรือเป็นการหยุดยั้งการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศที่สองนั้น
สำหรับตัวบทของแกตต์ มาตรา 6(1) (A) และ (B) ได้ให้ความหมายของการทุ่มตลาด
หรือการที่สินค้านำเข้ามีราคาต่ำกว่าปกติของสินค้าดังนี้คือ
มาตรา 6(1) (A) ระบุว่า จะถือว่าสินค้านำเข้ามีราคาต่ำกว่าปกติต่อเมื่อราคาของสินค้าที่ส่งออกจากประเทศผู้ส่งออกไปยังประเทศผู้นำเข้านั้น
ต่ำกว่าราคาที่พอจะเปรียบเทียบกันได้ของสินค้าที่คล้ายคลึงกันในการค้าปกติ
ในการที่สินค้านั้นเข้าไปขายในประเทศส่งออก (ราคาภายในประเทศผู้ส่งออกนั่นเอง)
มาตรา 6(1) (B) ระบุว่า ถ้าไม่มีราคาภายในประเทศดังกล่าวแล้ว ราคาที่ต่ำกว่าปกติของสินค้าก็คือ
ราคาสูงสุดที่พอจะเปรียบเทียบได้กับราคาของสินค้าที่คล้ายคลึงกันที่ส่งออกไปยังประเทศที่สามในการค้าปกติ
หรือถ้าไม่สามารถหาราคาดังกล่าวได้ให้เอาต้นทุนการผลิตในประเทศที่ผลิต (ซึ่งอาจจะเป็นประเทศผู้ส่งออกหรือประเทศอื่น)
รวมกัน ค่าใช้จ่ายในการขายและกำไร ในกรณีที่ใช้ต้นทุนการผลิตของประเทศอื่นกฎหมายให้คำนึงถึงแตกต่างในเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศด้วย
สรุปแล้วการจะใช้การป้องกันการทุ่มตลาดได้ก็ต่อเมื่อรู้ว่ามีการทุ่มตลาด
การทุ่มตลาดก็คือ การที่สินค้าถูกส่งไปขายในประเทศนำเข้าในราคาที่ต่ำกว่าค่าปกตินั้น
กฎหมายให้ดูว่าถ้าราคาที่ส่งออกนั้นต่ำกว่าราคาของสินค้าที่คล้ายคลึงกันที่เข้าไปขายอยู่ในประเทศผู้ส่งออก
หรือถ้าไม่มีราคาขายในประเทศผู้ส่งออกก็ให้ดูราคาที่ส่งไปขายยังประเทศที่สาม
หรือถ้าราคาดังกล่าวหาไม่ได้ ให้เอาต้นทุนการผลิตในประเทศที่ผลิตรวมกับค่าใช้จ่ายในการขายและกำไร
ในกรณีใดกรณีหนึ่งนั้นก็จะหาราคาที่ต่ำกว่าค่าปกติได้
ความเสียหาย
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุ่มตลาด จะป้องกันหรือตอบโต้การทุ่มตลาดไม่ได้
จนกว่าจะได้พิสูจน์และตัดสินโดยประเทศผู้เสียหายว่า ผลกระทบของการทุ่มตลาดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง
(MATERAIL INJURY) แต่การพิสูจน์ความเสียหายก็กระทำได้ยากเพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจมาจากสาเหตุอื่น
มิใช่การทุ่มตลาดจากประเทศนั้นเพียงอย่างเดียว เช่น การบริหารบริษัทไม่ดี,
เศรษฐกิจตกต่ำทำให้ไม่มีกำลังซื้อ หรือมีหลายประเทศเป็นผู้ส่งสินค้าเข้ามาขายในราคาต่ำเหมือนกันเป็นต้น
ข้อจำกัดในการตอบโต้
การตอบโต้การทุ่มตลาดนั้น ให้เก็บภาษีได้ไม่เกินขอบของการทุ่มตลาด (MARGIN
OF DUMPING) เช่น ถ้าสินค้าราคาค่าปกติ 100 บาทแล้ว แต่มีการนำเข้าในลักษณะทุ่มตลาดในราคา
80 บาท การเก็บภาษีป้องกันการทุ่มตลาดจะต้องคิดจากฐานราคา 80 บาทเป็นเกณฑ์
ดังนั้นจึงจะเก็บได้ไม่เกิน 20 บาทเป็นต้น แต่ในทางปฏิบัติในการดำเนินคดีแล้ว
จะมีการโต้เถียงกันมากในการคำนวณภาษีที่จะเก็บในเรื่องการคิดราคาส่งออกว่ารวมหรือไม่รวมต้นทุนอะไรบ้าง
การเก็บภาษีการตอบโต้การทุ่มตลาด จึงก่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในการแข่งขันเชิงการค้า
(LEVEL PLAYING FIELD) เพราะการที่บริษัทในต่างประเทศแทรกแซง โดยการทุ่มตลาดแล้ว
จะทำให้สินค้าต่ำกว่าความเป็นตริง ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น ดังนั้น
ANTI DUMPING จะเป็นภาษีที่ปรับให้ราคาสินค้าอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาด และตอบโต้การช่วยอุดหนุน
พ.ศ. 2534 ได้ค้างอยู่ในการประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่เพิ่งสิ้นสุดวาระเมื่อปลายเดือนมีนาคม
ศกนี้ กฎหมายฉบับนี้ จึงตกไปโดยปริยาย
ทางกระทรวงพาณิชย์จึงพยายามหาทางออกโดยการใช้พระราชบัญญัติการนำเข้าส่งออก
พ.ศ. 2522 เป็นหลักในการปฏิบัติ และระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้องแทน
อย่างไรก็ตามการใช้มาตรการโดยอ้อมเช่นนี้ก็คงจะมีข้อด้อยกว่ากฎหมายเฉพาะที่บัญญัติไว้สำหรับการนี้
จึงหวังว่าร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาด และตอบโต้การช่วยอุดหนุนคงจะถูกหยิบยกมาพิจารณากันใหม่ในสภาผู้แทนราษฎรสมัยหน้า
เพื่อรองรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่บอบช้ำให้พัฒนารวดเร็วยิ่งขึ้น