"การต่อสู้ของจิระยังยาวไกล"


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2535)



กลับสู่หน้าหลัก

ปัญหาการระเบิดหินบนเกาะสีชังที่เกิดขึ้นแทบจะทำให้ฝันของบริษัท สีชังทองเทอร์มินัล จำกัด (สีชังทองฯ) ต้องล่มสลายไปอีกครั้ง เนื่องจากโดนกระแสต่อต้านจากชุมชนอย่างหนัก ...!

การระเบิดหินซึ่งส่งผลต่อสภาพแวดล้อมของเกาะสีชังทั้งสภาพพื้นเกาะหรือโบราณสถานนั้น ไม่ว่าสีชังทองฯ จะเป็นผู้ดำเนินการหรือเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่องานของสีชังทองฯ กำลังจะกลายเป็นโครงการหลักของพื้นที่นั้น จึงทำให้โครงการนี้กลายเป็นสิ่งแปลกปลอมท่ามกลางชุมชนและธรรมชาติที่อยู่คู่กันอย่างสงบมานาน เป็นเหตุให้ฝันของจิระ รัตนะรัต เจ้าของโครงการเป็นเส้นทางที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวชนิดที่ท้อแท้ขนาดจะยกเลิกงานนี้ก็หลายครา

ความได้เปรียบที่ตระกูล "หงศ์ลดารมภ์" มีกรรมสิทธิ์ในพื้นที่เกาะบางส่วนเพราะจับจองมาหลายสิบปี ในฐานะที่คุณหญิงทองทิพ ภรรยาของจิระเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขขอองตระกูลนี้จึงกลายเป็นทำเลสร้างท่าเรือน้ำลึก และโรงงานโซลเว้นท์ได้อย่างเหมาะเจาะแม้ว่าทางราชการจะอนุมัติให้อย่างทุลักทุเลก็ตาม

เฉพาะอย่างยิ่ง ท่าเรือน้ำลึกเกาะสีชังที่จะสร้างขึ้นนี้จะมุ่งให้เป็นท่าเรือสากลประสานกับท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อเป็นศูนย์กลางการขนส่งไปสู่อินโดจีนในอนาคต

แต่แล้ววันนี้สายสัมพันธ์กับ "หงศ์ลดารมภ์" กลับกลายเป็นหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มตำความก้าวหน้าของโครงการอย่างที่จิระคงปฏิเสธปัญหานี้ไม่ได้

เนื่องจากบริษัทที่เป็นต้นตอของปัญหาการทำลายสภาพแวดล้อมของเกาะสีชังนั้น ก็คือ บริษัท ภูเพ็ญ จำกัด โดยได้รับอนุมัติให้ระเบิดหินด้วยเหตุผลว่า เพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำ และบริษัท พรเพ็ญประทาน จำกัด ก็ได้รับอนุญาตให้สร้างโรงโม่หินและย่อยหิน

ประการสำคัญ ทั้งสองบริษัทนี้ถือหุ้นหลักโดยพี่น้อง "หงศ์ลดารมภ์" เฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทภูเพ็ญนั้นถือหุ้นหลักโดยตระกูลนี้และยังมีคุณหญิงทองทิพเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย ขณะที่ตระกูล "หงศ์ลดารมภ์" ถือหุ้นอยู่ในสีชังทองฯ 5%

ยิ่งภาพการระเบิดหินที่ลุกลามขยายวงกว้างออกไปจนล่าสุดทางราชการได้ออกคำสั่งห้ามบริษัท ภูเพ็ญระเบิดหินอย่างเด็ดขาดเพราะระเบิดออกนอกพื้นที่สัมปทานไปแล้ว 13 ไร่ซึ่งเหลืออีกเพียงประมาณ 4 เมตรก็จะทำให้เกาะแยกจากกัน

ทำให้ยากที่จะปฏิเสธได้ว่าสีชังทองฯ ไม่เกี่ยวข้องกันกับ "หงศ์ลดารมภ์" ผู้ระเบิดหิน แม้ว่าสีชังทองฯ จะไม่ใช่ผู้ดำเนินการโดยตรงก็ตามจึงช่วยไม่ได้ที่ชุมชนจะเข้าใจว่าสีชังทองฯ คือผู้สร้างปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดบนเกาะแห่งนี้

ทั้งที่การระเบิดหินบนเกาะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ชนะประมูลในการสร้างท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบังได้ซื้อสัมปทานพื้นที่ระเบิดหินจาก "หงศ์ลดารมภ์" ซึ่งมีเอกสารสิทธิ์ที่เรียกว่า ส.ค. 1 โดย ครม. ยุคนายกชาติชาย ชุณหะวัณได้ไฟเขียวเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2531

หินที่ระเบิดในตอนนั้นใช้ในการถมทะเลเพื่อสร้างเขื่อนกั้นคลื่นความยาว 1.3 กิโลเมตรและกำแพงหินขอบท่าเรือขนาด 6.5 กิโลเมตร เพราะเป็นหินที่มีคุณสมบัติและขนาด 0.25-1,200 กิโลกรัมตามความต้องการ เป็นแหล่งหินที่ใกล้บริเวณสร้างท่าเรือที่สุด สะดวกในการขนย้ายช่วยร่นระยะทางและประหยัดต้นทุน

เมื่อท่าเรือแหลมฉบังเสร็จไปในปี 2533 ก็ยังมีการย้ายพื้นที่ระเบิดหินมาใกล้แหล่งชุมชนและพระราชวังรัชกาลที่ 5 มากขึ้น "ห่างแค่ประมาณกิโลเมตรเดียว จึงทำให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองโปรยปลิวตามทิศทางลม และส่งผลต่อคุณภาพน้ำทะเลด้วย" แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกล่าวขณะที่พื้นที่ระเบิดหินก็ยังคงเป็นของ "หงศ์ลดารมภ์" เหมือนเดิม

กระแสต่อต้านของชาวบ้านชุมชนเกาะสีชังที่เริ่มมีมาตั้งแต่ในช่วงแรกดูไม่รุนแรงนักเริ่มทวีความดุเดือดขึ้นตลอดเวลาทั้งโดยภาพเปิด และภาพปิดขณะที่สภาพแวดล้อมถูกทำลายไปเรื่อยผนวกกับความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมโดยทั่วไปก็เริ่มหนักหน่วงขึ้น ดังนั้นเมื่อสีชังทองฯ ประกาศผลักดันสร้างท่าเรือสีชังภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นลำดับก็ถูกประสมประสานเข้ากับโครงการท่าเรือไปโดยปริยาย

เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่ทางอิตาเลียนไทยฯ หรือบริษัทภูเพ็ญระเบิดหินอยู่ ส่วนแรกทาง "หงศ์ลดารมภ์" เป็นเจ้าของสัมปทานโดยไม่ได้ระเบิดเองแต่ส่วนหลัง "หงศ์ลดารมภ์" เป็นทั้งผู้ถือกรรมสิทธิ์และดำเนินการเอง

สายใยแห่งความสัมพันธ์ตรงนี้จึงไม่อาจตัดแยกออกจากสีชังทองฯ ได้แม้ว่าแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าสีชังทองฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหารและการตัดสินใจของ "หงศ์ลดารมภ์" ในบริษัท ภูเพ็ญต่างคนต่างทำและต่างความคิดก็ตาม

อีกทั้งย้ำว่าการสร้างท่าเรือสีชังทองฯ จะใช้วิธีระเบิดหินด้วยวิธีที่ไม่กระทบกระเทือนต่อสภาพแวดล้อมข้างเคียงไม่ว่าที่จะเกิดจากเสียง การสั่นสะเทือน หินที่กระเด็น แต่จิระคง ไม่อาจแยกภาพความเป็นเครือญาติในทางนิตินัยจากการสมรสได้เลย แม้คนที่ติดตามและรู้จักจิระดี มั่นใจว่าจิระไม่เห็นด้วยกับการระเบิดหินที่ทำลายสิ่งแวดล้อมบนเกาะ

หากกลับแปรเป็นเรื่องตลกเมื่อฝ่ายระเบิดหินกลายเป็นคนทำลายสภาพแวดล้อมที่ดี ๆ ของชุมชน แต่ทางสีชังทองฯ คือจิระในฐานะผู้จัดการการบริหารพยายามที่จะตั้งกองทุนอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพทรุดโทรมมรดกล้ำค่าบนเกาะ

ด้วยรูปลักษณ์อย่างนี้ สีชังทองฯ จึงถูกแรงต่อต้านจากชุมชนเกาะสีชังกระหน่ำอย่างหนัก แม้ว่าจะมีผู้คนส่วนหนึ่งเห็นด้วยกับโครงการ แต่ก็ไม่อาจดูแคลนและมองข้ามผู้คนที่ปฏิเสธการเกิดขึ้นของสิ่งแปลกปลอมทั้งมวลบนเกาะ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเชิงเศรษฐกิจหรือเทคโนโลยีใดก็ตาม

เมื่อสีชังทองฯ ไม่อาจต้านกระแสของชาวบ้านได้ล่าสุดจึงระงับโรงงานโซลเว้นท์ไว้ก่อนโดยจะเริ่มสร้างเฉพาะท่าเรือ

แต่ขณะเดียวกันก็จะตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์พื้นที่ของสีชังทองฯ จำนวน 800 กว่าไร่อีกครั้งหนึ่งแม้ว่าทางราชการจะไฟเขียวมาก่อนหน้านี้แล้วซึ่งทำให้ต้อองชะลอโครงการออกไปอีกครั้งหนึ่ง

จิระคงต้องสะดุดและล้มลุกคลุกคลานกับโครงการนี้อีกหลายยก ตราบเท่าที่แยกความสัมพันธ์ระหว่างสีชังทอง ฯ กับ "หงศ์ลดารมภ์" ออกจากกันให้ชัดเจนไม่ได้ยังไม่รวมถึงจุดอ่อนที่สีชังทองฯ ไม่ได้ปูฐานความเข้าใจของมวลชนท้องถิ่นต่อโครงการตั้งแต่ต้น

น่าวิตกอย่างยิ่งว่า สีชังทองฯ จะเจอกรณีเดียวกับโครงการแทนทาลัมจ. ภูเก็ตที่ล่มสลายไปแล้วหรือไม่...?



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.