LPNประกาศเลิกท้าชนคู่แข่ง ชูยุทธศาสตร์“แข่งกับตัวเอง”


ผู้จัดการรายสัปดาห์(4 กุมภาพันธ์ 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

LPN ประกาศสู้กับตัวเอง เลิกแข่งกับคู่แข่ง เผยแข่งกับตัวเองยากกว่าแข่งกับคู่แข่งที่เป็นอับดับรอง ชูแผน 3 ขั้นมัดใจผู้บริโภค เริ่มจากก้าวเป็นผู้นำตลาด รักษาตำแหน่งผู้นำตลอดกาล และมุ่งพัฒนาเชิงคุณภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มนำไปสู่การเติบโตแบบยั่งยืน เผยแผนลงทุนปีนี้ลุยต่ออีก 8โครงการมูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท

การแข่งขันของตลาดซิตี้ คอนโดมิเนียม ที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ ทำให้ดีเวลอปเปอร์ทุกรายต้องปรับกลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อให้แบรนด์อยู่ในใจของผู้บริโภค หากคิดจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียม

ทั้งนี้ กลยุทธ์ที่นำมาใช้หนีไม่พ้นการจัดแคมเปญลด แลก แจก แถม พ่วงด้วยการให้บริการหลังการขาย ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวถูกนำมาใช้มาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ทุกวันนี้ หากผู้บริโภคคิดจะเลือกซื้อที่อยู่อาศัยทุกประเภท ไม่เฉพาะคอนโดมิเนียม การตัดสินใจเลือกซื้อนอกเหนือจากทำเล รูปแบบบ้าน และราคาแล้ว การจัดรายการส่งเสริมการขายของโครงการยังเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อด้วย และหากโครงการใดไม่จัดแคมเปญลด แลก แจก แถม ยอดขายจะอืดมาก

บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ที่แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียม ด้วยมาร์เก็ตแชร์มากถึง 18% แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในการพยายามฉีกตัวเองให้แตกต่างจากคู่แข่งที่ตามมาอย่างชนิดที่หากเผลอหรือหยุดเดินคู่แข่งจะตามมาทันทันที ทำให้โอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ ต้องคิดให้หนัก ตีโจทย์ให้แตกว่าแท้ที่จริงแล้วจะต้องทำอย่างไรจึงจะมัดใจผู้บริโภคให้ได้

ก่อนหน้านื้ แอล.พี.เอ็น.ฯได้ปรับตัวครั้งใหญ่ ด้วยการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการ ดันลูกหม้อขึ้นกุมบังเหียนบริษัทในเครือทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย 1.บริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด (LPS) 2.บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) และ3.บริษัท พรสันติ จำกัด (PST)เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กร และดูแลชาวชุมชนแอล.พี.เอ็น.ฯที่คาดว่าในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะมีมากถึง 100,000 ครอบครัว โดยปัจจุบันมีโครงการที่ต้องดูแลรวม 46 โครงการ จำนวน 105 อาคาร คิดเป็นพื้นที่รวมทั้งสิ้น 1.3 ล้านตารางเมตร

โอภาส บอกว่า “การปรับโครงสร้างครั้งนั้น ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ยังไม่เพียงพอต่อการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดไว้ได้ตลอดกาล ดังนั้น การดำเนินงานจะต้องมีการปรับตัวตลอดเวลา เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภค และมัดใจไว้ โดยนโยบายที่แอล.พี.เอ็น.ฯได้นำมาใช้นั้น จะไม่เน้นแข่งขันกับคู่แข่งโดยตรง แต่จะเน้นการแข่งกับตัวเอง เพราะการแข่งกับตัวเองซึ่งเป็นเจ้าตลาดนั้นยากกว่าแข่งกับคู่แข่งที่ยังมีมาร์เก็ตแชร์อันดับรองลงไปจากแอล.พี.เอ็น.ฯ ซึ่งการแข่งกับเจ้าตลาดน่าจะยากกว่าการแข่งกับอันดับรอง นั่นคือที่มาที่แอล.พี.เอ็น.ฯเน้นแข่งขันกับตัวเอง”

แผนการแข่งกับตัวเองนั้น กรรมการผู้จัดการ บอกว่า จะต้องทำอย่างไรให้การบริหารจัดการ การทำการตลาดแตกต่างจากช่วงที่ผ่านมา ซึ่งยุทธศาสตร์ดังกล่าวเริ่มตั้งแต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยแผนระยะแรกเริ่มในปี 2545-2547 ได้วางเป้าหมายเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งทุกวันนี้แผนการดังกล่าว ทำให้แอล.พี.เอ็น.ฯก้าวเป็นผู้นำตลาดด้วยมาร์เก็ตแชร์มากถึง 30% ในช่วงที่ตลาดคอนโดมิเนียมยังไม่บูมเท่ากับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์ 18% แต่ฐานลูกค้าโตขึ้นมาก

ส่วนแผนระยะที่สอง เริ่มในปี 2548-2550 จะต้องรักษาบังลังก์ผู้นำในตลาดคอนโดมิเนียมไว้อย่างเหนียวแน่น และแผนระยะที่สามเริ่มในปี 2551-2553 ซึ่งจะต้องพัฒนาโครงการเชิงคุณภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯมีแผนจะเปิดโครงการใหม่อย่างน้อย 8 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท โดยใช้แบรนด์ “ลุมพินี คอนโดทาวน์” เป็นธงนำ เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง และรักษาฐานลูกค้าระดับกลาง-บน ด้วยแบรนด์”ลุมพินี เพลส” และ”ลุมพินี วิลล์” ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกจะเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ นอกจากนี้ บริษัทฯยังเตรียมรับรู้รายได้อีกเกือบ 8,000 ล้านบาท จาก 5 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี เพลส รัชดา-ท่าพระ,ลุมพินี วิลล์ รามคำแหง 44 ,ลุมพินี คอนโดทาวน์ บดินทร์เดชา-รามคำแหง,ลุมพินี คอนโดทาวน์ รามอินทรา-หลักสี่ และลุมพินี วิลล์ รามอินทรา-หลักสี่

ด้านแผนการดำเนินงานของบริษัท พรสันติ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ดูแลโดยสมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ โดยพรสันติจะดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกับกับบริษัทแม่ คือจะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่คอนโดมิเนียม เพราะไม่ต้องการให้แข่งขันกับบริษัทแม่ แต่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท ยกเว้นคอนโดมิเนียม เช่น ทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์ และพื้นที่เชิงพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกาะไปกับโครงการคอนโดมิเนียมต่าง ๆ ที่จะมีพื้นที่เหลือรอบ ๆ โครงการ

ปัจจุบันพรสันติมีที่ดินพร้อมพัฒนารวม 5 แปลง ตั้งอยู่ที่นวมินทร์,ลาดพร้าว ,สุทธิสาร ,ปิ่นเกล้า และรามอินทรา ซึ่งทุกแปลงมีขนาดที่ดินไม่มากนัก เฉลี่ยไม่เกิน 1 ไร่ ซึ่งปีนี้จะพัฒนารวม 5 โครงการ มูลค่ารวม 1,350 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายเติบโตขึ้นปีละ 20% และมีกำไรเบื้องต้นประมาณ 30%


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.