ผู้ว่าวิจิตรกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ในสายตาคนภายนอก เขาและแบงก์ชาติกำลังประสบกับ
"วิกฤตศรัทธา" ขณะที่จากคนภายในเองก็อยู่ในภาวะระแวงอันเนื่องมาจากการที่ผู้ว่าวิจิตรดึงการเมืองเข้ามามีบทบาทในแบงก์ชาติมากเกินไป
อย่างไรก็ตามด้วยบุคลิกภาพอันสุขุมลุ่มลึกผสานกับท่าทีนุ่มนวลน้อมตัวเข้าหาทุกรัฐมนตรีคลัง
ตามจารีตประเพณีที่วิจิตรต้องทำ เป็นสิ่งที่วิจิตรเรียนรู้จากประวัติศาสตร์
50 ปีของแบงก์ชาติว่า นี่คือยุทธวิธีหนึ่งของการรักษาระยะความสัมพันธ์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในรูปของการทำงานร่วมกันในฐานะเท่าเทียมมิให้อีกฝ่ายหนึ่งครอบงำได้ในระบบการเมืองที่เปิด
และสามารถรักษาจุดยืนด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจและเก้าอี้ตำแหน่งของตนเองได้ในระยะยาว
"หน้าที่ของเราต้องทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาล ซึ่งผมก็ทำมาโดยตลอด ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐบาล
ผมก็จะนัดพบรัฐมนตรีคลังเป็นงานแรก เป็นธรรมเนียมที่ว่ารัฐมนตรีคลังมาใหม่เราก็จะนัดไปทันที
จะเห็นว่าเวลาที่รัฐมนตรีคลังนัดหน่วยงานของกระทรวงการคลังคุยกันจะไม่มีแบงก์ชาติเราจะแยกต่างหาก
คุยกันสองต่อสองสำหรับทุกรัฐมนตรีคลัง ผมไปด้วยตัวเองตลอด พอวันที่ท่านรับตำแหน่งวันแรกผมก็นัดเลย
ไปพบและนำเรื่องไปเล่าให้ฟังว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เรื่องต่างๆไปถึงไหนบ้างเพื่อให้ท่านทราบ"
วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเล่าให้ "ผู้จัดการรายวัน"
ฟังเมื่อ 5 ก.พ.2538 ถึงเบื้องหลังบทบาทของแบงก์ชาติที่สามารถผลักดันนโยบายการเงินได้ราบรื่น
ตั้งแต่
เป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติในเดือน พฤศจิกายน 2533 ในทุกสถานการณ์การเมืองที่วิจิตรสามารถเอาตัวรอดผ่านมาแล้วใน
7 รัฐบาลและ 6 รัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลังนับตั้งแต่ดร.วีรพงษ์ รามางกูร สุธี
สิงห์ เสน่ห์ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ และล่าสุด ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย
วิจิตรเรียนรู้ว่า ยิ่งความไม่แน่ใจว่าช่วงเวลาในตำแหน่งของนักการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสั้นเท่าใด
ก็ยิ่งพบความจริงว่าแบงก์ชาติกลับจะถูกนักการเมืองล่วงละเมิดนโยบายอนุรักษ์นิยมทางการเงินมากขึ้นเท่านั้น
โดยเพิ่มค่าใช้จ่ายภาครัฐบาลให้มากขึ้น เพื่อขยายฐานเลือกตั้งของตนเอง โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่โยงใยสัมพันธ์กับธุรกิจบริษัทที่กำลังขยายตัว
ก็จะมีผลให้แบงก์ชาติถูกบีบคั้นจากกระทรวงการคลังมากขึ้นด้วย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในรัฐบาลบรรหาร 1 ที่ขอเพิ่มงบประมาณอีก 1 หมื่นล้านบาทหลังจากที่เข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นานนักงานนี้แบงก์ชาติเฉยไม่ค้ดค้านแม้จะมีเสียงวิพากษ์ว่าจะทำให้เงินเฟ้อมากขึ้น
บทบาทของผู้ว่าวิจิตรโดดเด่นมากในสมัยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง"สุรเกียรต์
เสถียรไทย"
คนในวงการการเงินการคลังวิเคราะห์ให้ฟังว่า การที่ผู้ว่าวิจิตรค่อนข้างจะโดดเด่นมากนั้นมาจากปัจจัย
3 ประการ
หนึ่ง- ความ "อ่อนหัด" ของรัฐมนตรีคลังคนใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องการเงินการคลัง
สอง- โดยบทบาทและหน้าที่ของผู้ว่าแบงก์ชาติ วิจิตรมีหน้าที่เสนอนโยบายและความเห็นด้านการเงิน
และรัฐมนตรีอยู่ในฐานะ"จำเป็นที่จะต้องเลือก"นโยบายการเงินมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ทั้งเรื่องเงินเฟ้อที่ใช้เรื่องดอกเบี้ยเป็นปัจจัยหลักในการแก้ไขปัญหา การควบคุมสินเชื่อเป็นต้น
หลายคนวิจารณ์ว่า เขาคือ "ผู้อยู่เบื้องหลัง" รัฐมนตรีคลังอย่างแท้จริงขณะที่บางคนให้ความชอบธรรมว่า
เพราะผู้ว่าวิจิตรเป็นข้าราชการ เมื่อรัฐมนตรีคลังใช้ให้ทำอะไรก็ต้องทำ รวมไปถึงเรื่องการเสนอนโยบายต่างๆ
ซึ่งแน่นอนที่แบงก์ชาติจะต้องเสนอนโยบายด้านการเงิน
บทบาทของผู้ว่าวิจิตรจึงโดดเด่นและกลายเป็น "ผู้อยู่เบื้องหลัง"
อย่างช่วยไม่ได้
สาม- แม้ว่าโดยบุคลิกแล้ว ผู้ว่าวิจิตรจะมีลักษณะสุขุม นุ่มลึกและไม่ค่อยพูดมากแต่ในวงการยอมรับว่า
เขาเป็นผู้ว่าที่เชื่อมั่นและภูมิใจใน "ความเป็นสถาบัน" มากๆ
ในยามวิกฤต เขาประกาศว่า แบงก์ชาติคือสถาบันที่มั่นคง และช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศพ้นความลำบากมาได้ซึ่งจากสถานการณ์หลายๆ
ครั้งแบงก์ชาติก็ทำหน้าที่เช่นนั้นจริงๆ ขณะที่ผู้ว่าวิจิตรอาจจะมองว่า (และอาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ)สถาบันอื่นๆ
อ่อนล้าเกินกว่าที่จะช่วยพยุงได้
กล่าวกันว่านักการเมืองค่อนข้างพอใจบทบาทของผู้ว่าวิจิตรที่ไม่แข็งกร้าวเกินไป
และเป็นผู้ที่เข้าใจสถานการณ์การเมืองดีกรณีดัชนีเงินเฟ้อ ซึ่งสับสนกันอย่างมากว่าเป็นเท่าไรกันแน่
แบงก์ชาติได้เสนอตัวเลขที่ค่อนข้างน่าพอใจต่อสถานการณ์ ขณะที่สถาบันการเงินอื่นโจมตีว่า
หากเงินเฟ้อจะเป็นตัวเลขที่เลวร้ายก็น่าจะยอมรับความเป็นจริงออกมา
อย่างไรก็ตาม การอยู่เบื้องหลังของผู้ว่าวิจิตรบางครั้งก็ "ล้ำเส้น"
เกินไป ดังเช่นกรณีกองทุนจำนำหุ้น 3 หมื่นล้านบาทเพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งประสบความล้มเหลว
และผู้ว่าวิจิตรก็เสนอ
"กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน"ซึ่งต่อมาก็พบว่าหากนำมาใช้จะผิดกฏหมาย
ผู้ว่าวิจิตรก็เสนอให้ธนาคารกรุงไทยและออมสินมาช่วยอีก จนกลายเป็นความไม่พอใจและไม่เข้าใจในบทบาทของผู้ว่าการแบงก์ชาติ
ยิ่งกรณี "ปลดเอกกมล" ความหวาดระแวงและไม่เข้าใจในตัวผู้ว่าวิจิตรยิ่งมีมากขึ้นเป็นลำดับ