สิ้นปีที่แล้ว ดร.สม จาตุศรีพิทักษ์ทิ้งทวนตำแหน่งประธานสมาคมธนาคารไทยที่บริหารมาสองวาระหรือ
3 ปี ให้กับดร.โอฬารที่จ่อคิวตำแหน่งประธานคนใหม่ สถานภาพใหม่นี้มีความหมายทั้งส่วนรวมและส่วนตัว
ที่สอดคล้องกับห้วงเวลาที่แบงก์ไทยพาณิชย์จะมีงานฉลองใหญ่ครบรอบ 90 ปีบริบูรณ์ในปีนี้ด้วย
"ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า ดร.โอฬารเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุดทั้งอาวุโส
ความรู้ ความสามารถและมีประสบการณ์สูงที่จะพลิกบทบาทของสมาคมธนาคารไทยเข้าสู่ยุคใหม่
หลังจากที่ผมได้วางรากฐานมาแล้ว 3 ปี" ดร.สมเล่าให้ฟังหลังที่ประชุมลงมติแล้ว
ความหมายของสมาคมธนาคารไทยเปรียบไปก็เหมือน CARTEL ที่แบงก์ไทยทั้ง 15
แห่งต่างมีพันธะสัญญาที่จะปกป้องผลประโยชน์ตัวเองผ่านรูปสมาคม ขณะเดียวกันทางแบงก์ชาติก็ได้ประโยชน์ที่กำกับตรวจสอบและสะดวกในการเจรจาขอความร่วมมือผ่านสมาคมแทนที่จะไล่เบี้ยทีละแบงก์ๆ
แต่เป้าหมายของผู้บริหาร สมาคมมีความลึกซึ้งไปกว่าสโมสรนายธนาคารที่พบปะคุยกินข้าวดื่มกาแฟคุยกันแค่นั้น
บทบาทสมาคมธนาคารไทยจะต้องเด่นชัดในฐานแกนนำอยู่ในกลุ่ม "บิ๊กทรี"
ที่ประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า และ สมาคมธนาคารไทย
ยุคของดร.สม แม้จะมีลักษณะอ่อนนอกแต่ก็แข็งใน จนกระทั่งภาพพจน์ของสมาคมภายนอกอาจจะดูเรียบๆ
ไปบ้าง แต่งานสมาคมแบงก์มีบทบาทชี้นำเด่นชัดหลายเรื่อง ไม่ว่าการซื้อเวลาสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบงก์ไทยก่อนที่จะให้แบงก์ต่างประเทศเข้าร่วมเอทีเอ็ม
แม้จะมีแรงกดดันระหว่างประเทศสูงมากก็ตาม
จากดร.สมสู่ยุคโหรเศรษฐกิจอย่างดร.โอฬารที่นายธนาคารหลายคนคาดหวังจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ของสมาคมธนาคารไทย
โดยพลิกภาพพจน์จากรับเป็นรุก เพราะจากที่เคยปรากฏข่าวว่าดร.โอฬารกล้าแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์มาตรการทางการเงินต่างๆ
ของแบงก์ชาติอย่างกล้าคิดกล้าพูด
ที่ผ่านมาการติดต่อสื่อสารระหว่างแบงก์พาณิชย์กับแบงก์ชาติยังมีช่องว่างอยู่มาก
จะเห็นได้จากมาตรการปรับวิธีคำนวณฐานะเงินตราต่างประเทศที่แบงก์ชาติออกมา
และมาตรการที่ส่งผลกระทบในวงกว้างที่ทำให้รายได้ของธนาคารพาณิชย์ลดลง เช่น
แบงก์ชาติกำหนดให้ปรับบัญชีสำรองเงินสดที่เป็นเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศเพิ่ม
รวมทั้งกำหนดสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากไว้ไม่ให้เกิน 11.9% โดยนายธนาคารมารับทราบ
งานนี้คาดหวังกันว่าดร.โอฬารต้องพิสูจน์ว่าบารมีของประธานสมาคมธนาคารไทยคนใหม่นี้มี
หลังจากที่หารือกับสมาชิกของสมาคมแล้วว่าควรจะเจรจาต่อรองให้แบงก์ชาติผ่อนผันกฏเกณฑ์ให้บ้าง
เช่น แบงก์พาณิชย์จะขอเลื่อนข้อบังคับที่ให้ลงบันทึกบัญชีตามจริงในการซื้อขายตราสารหนี้ไปอย่างน้อย
6 เดือนจากเดิมที่กำหนดบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม
อย่างไรก็ตามดร.โอฬารก็ยอมรับว่า นโยบายการเงิน 5 ข้อที่ออกมาบังคับใช้ในปี
2539 นี้มีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจดี โดยกำหนดอัตราขยายตัวของสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบไว้
21% และการขยายตัวของเงินฝากไว้ระดับที่ 15%
"การกำหนดอัตราการขยายตัวทั้งสินเชื่อ และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในปีนี้
เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากการแข่งขันธุรกิจของธนาคารพาณิชย์นั้นได้มีการปรับกลยุทธ์เพื่อลดรายได้จากอัตราดอกเบี้ยลงอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบได้ลดอัตราการขยายตัวของสินเชื่อและเงินฝากตามภาวะเศษฐกิจ"
เป็นสไตล์การพูดเชิงวิชาการแบบดร.โอฬาร
แต่อย่างไรก็ตามในปีที่แล้วดร.โอฬารเคยเสนอมีความคิดเห็นให้แบงก์ชาติติดตาม
และกำกับทิศทางและแผนสินเชื่อของแบงก์ต่างประเทศในไทย เพราะดูการขยายสินเชื่อของแบงก์ต่างประเทศที่เป็น
1 ใน 4 ของสินเชื่อทั้งระบบ เป็นเหตุทำให้สินเชื่อทั้งระบบสูง โดยตรวจสอบว่าเป็นการโยกบัญชีหรือการปล่อยสินเชื่อ
นี่คือฤทธิ์ของเปิดเสรีการเงิน ที่ทำให้แบงก์ต่างประเทศมีอิทธิพลต่อระบบการเงินไทยและยังเป็นคู่แข่งขันสำคัญในสนามการค้าเงิน
และต่อไปจะทรงพลังขึ้นจากนโยบายเปิดเสรีทางการเงิน ที่จะสร้างแรงกดดันให้นายธนาคารไทยทั้งหลายต้องรวมตัวกันสู้และป้องกันตัวเอง
ซึ่งจะรักษาตัวรอดได้หรือไม่ ก็ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างแบงก์ชาติกับสมาคมธนาคารไทย
นอกจากงานประสานกับแบงก์ชาติแล้ว งานภายในที่เป็นงานเดิมที่ต้องสานต่อจากสมัยดร.สม
ก็คือการจัดทำคู่มือการค้าตราสารอนุพันธ์(DERIVATIVES)ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่
ที่ได้ว่าจ้างบริษัทพีท มาร์วิคและสุธีเป็นที่ปรึกษาตลอดระยะ 8 เดือนที่จัดทำคู่มือนี้
นอกจากนี้ในส่วนโอนเงินรายย่อยที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ประมวลผลข้อมูล (พีซีซี)ที่ใช้งบ
40 ล้านบาท ศึกษาดำเนินการ ภายใต้การกำกับดูแลของธีระ อภัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่
แบงก์กรุงเทพก็ต้องทำต่อไปให้
"งานสำคัญที่ดร.โอฬารจะรับผิดชอบอีกชิ้นหนึ่งคือการดำเนินการให้มีการแก้ไขกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ยอมรับเอกสารประเภทดิสก์เกตต์
ไมโครฟิลม์ ให้ใช้เป็นหลักฐานในการอ้างอิงในศาลได้ โดยทางสมาคมจะต้องผลักดันให้เข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมสภาเดือนพฤษภาคมนี้
ที่คาดว่าจะพร้อมๆ กับพิจารณา พ.ร.บ.บัตรเครดิต" นี่คืองานที่ดร.สมฝากฝังให้ดร.โอฬารสานต่อไป
บนเส้นทางแห่งเกียรติยศ ประธานสมาคมธนาคารไทยคนใหม่ดร.โอฬารอาจต้องเผชิญอุปสรรคขวากหนามและความหวาดระแวงในสถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียด
แต่ใครต่อใครในวงการคาดกันว่า นี่คือบันไดขั้นแรกที่จะพิสูจน์ว่าดร.โอฬารจะก้าวไปเล่นการเมืองในระดับชาติได้หรือไม่เมื่อถึงเวลา
?