DRTเพิ่มส่งออกดันยอดโต10%


ผู้จัดการรายวัน(28 มกราคม 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

กระเบื้องตราเพชร ประกาศรุกตลาดต่างประเทศส่งผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์เจาะกัมพูชา-ลาว ดันยอดส่งออกโต 20% ทุ่ม 465 ล้านบาทเพิ่มกำลังการผลิตอีก 60,000 ตันต่อปีขยายตลาดส่งออกในอนาคต พร้อมเร่งขยายตลาดโครงการจัดสรร เผยต้นปียอดสั่งซื้อแล้วกว่า1,500 ยูนิต ยันไม่ปรับราคาขายสินค้าแม้ต้นทุนเชื้อเพลิงพุ่ง หลังเปลี่ยนใช้แก๊สในระบบผลิตแทนน้ำมันคาดลดต้นทุนได้กว่า10% ตั้งเป้ายอดขายปี51เติบโต 10% หรือมียอดขายรวม 2,700 ล้านบาท

นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายการขาย และการตลาด บริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) (DRT) กล่าวว่าในปีนี้บริษัทจะเน้นการเปิดตลาดส่งออกต่างประเทศให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าจะมีอัตราการเติบโตจากตลาดส่งออกต่างประเทศ 20% หรือมีสัดส่วนการส่งออกเพิ่มเป็น 8% จากปีที่50บริษัทมีสัดส่วนยอดขายจากตลาดต่างประเทศ 5% ของยอดขายรวม 2,500 ล้านบาท ในขณะที่ตลาดในประเทศบริษัทจะให้ความสำคัญกับการรุกตลาดโครงการเพิ่มมากขึ้นโดย ตั้งเป้าว่าจะมีสัดส่วนยอดขายจากโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 8% จากเดิมที่มีอยู่ 5%

ทั้งนี้ ในส่วนของการการเจาะตลาดต่างประเทศนั้นบริษัทจะเน้นการขยายตลาดในภูมิภาค โดยให้ความสำคัญตลาดประเทศลาว และประเทศกัมพูชา เนื่องจากทั้ง2 ประเทศมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวสูง และมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบสาธารณูปโภค และการขยายตัวด้านที่อยู่อาศัยสูงตามไปด้วย ทำให้กลุ่มประเทศดังกล่าวมีความต้องการใช้วัสดุก่อสร้าง ฝ้าเพดาน และผนังบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ และ กระเบื้องหลังคาลอนคู่ ในขณะที่การขยายตลาดดังกล่าว ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทด้วย เพราะบริษัทขายเป็นสกุลเงินบาท ทำให้ไม่มีส่วนต่างจากอัตราการแลกเปลี่ยน

นอกจากนี้เพื่อเป็นการขยายตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นบริษัทยังได้มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก1 สายการผลิต โดยได้ใช้เงินลงทุน 465 ล้านบาทในการขยายกำลังผลิตเพิ่มอีกอีก 60,000 ตันต่อปี ซึ่งเป็นการขยายสายการผลิตในพื้นที่โรงงานเดิมจังหวัดสระบุรี คาดว่าสายการผลิตดังกล่าวจะก่อสร้างเสร็จในปี2552นี้ และจะทำให้บริษัทมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปขายในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น10%

“การขยายตลาดส่งออกในปีนี้จะทำให้บริษัทใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่ได้เต็ม100% จากที่เดิมใช้อยู่ประมาณ 80-90% ซึ่งหลังจากบริษัทเดินสายผลิตเต็มกำลัง100% จะทำให้มียอดการผลิตกระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์รวม 300,000 ตันต่อปี และกระเบื้องคอนกรีตมียอดการผลิตต่อปี200,000 ตันต่อปี หรือมียอดการผลิตกระเบื้องโดยรวม 500,000 ตันต่อปี”

นายสาธิต กล่าวว่า ส่วนการรุกตลาดโครงการในปีนี้ บริษัทจะเน้นกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์กระเบื้องคอนกรีต ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยในช่วงต้นปีนี้ยอดการสั่งซื้อกระเบื้องคอนกรีตปรับตัวสูงขึ้น โดยมียอดการสั่งซื้อจากบริษัท คอวลิตี้ เฮาส์ จำกัด (มหาชน) เข้ามาแล้ว 3-4โครงการ นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการโครงการจัดสรรรายอื่นๆ สั่งซื้อเข้ามาอีกหลายราย โดยมียอดแล้วกว่า 1,500 ยูนิต สะท้อนให้เห็นว่าปี 51 นี้ตลาดมีการปรับตัวที่ดีขึ้นและเชื่อว่ายอดขายกระเบื้องคอนกรีตขยายตัวสูงขึ้นจากปี50

ในขณะเดียวกันรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศเองก็มีนโยบายการลงทุนที่เน้นในเรื่องของการกระจายรายได้สู่กลุ่มประชาชนระดับรากหญ้า ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัด หรือกลุ่มลูกค้ารายย่อย ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายรายย่อยอยู่80% จากยอดขายรวม ซึ่งหากในปีนี้ตลาดในประเทศขยายตัวตามที่มีการคาดการ หรือหากตลาดไม่โตตามคาดการก็น่าจะมีอัตราการขยายตัวในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวมไม่น่าจะแย่กว่าปี50แน่นอน

อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันในตลาดโลกมีการปรับตัวสูงขึ้นทำให้ต้นทุนด้านเชื้อเพลิงขยับสูง ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการผลิตของบริษัทอยู่บ้างแต่บริษัทจะไม่มีการปรับราคาขายสินค้าขึ้น เนื่องจากในปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับลดต้นทุนการขนส่ง และต้นทุนเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตใหม่ โดยหันมาใช้แก๊ส ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่าน้ำมันในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากที่เดิมบริษัทมีการใช้แก๊สในระบบขนส่งเท่านั้น ซึ่งในปีก่อนหน้านั้นมีการใช้แก๊สทดแทนการใช้น้ำมันเพียง 10% ซึ่งจะทำให้ในปีนี้บริษัทสามารถลดต้นทุนการขนส่ง และการผลิตได้กว่า 10% ดังนั้นต้นทุนเชื่อเพลิงที่เพิ่มขึ้นจึงไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตของบริษัททำให้ไม่จำเป็นต้องมีการปรับราคาขายสินค้า

สำหรับปีนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมเติบโตจากปี 50 ที่ผ่านมาซึ่งมียอดขายประมาณ2,500 ล้านบาท 10% หรือมียอดขายประมาณ2,700 ล้านบาท โดยรายได้ดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากการขยายการส่งออก และการขายผ่านโครงการ ซึ่งการขยายตัวของยอดการส่งออกจะทำให้ในปีนี้บริษัทมีสัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 8-10% และมีสัดส่วนยอดขายในประเทศอยู่ที่ 90% และคาดว่าในอนาคตหลังสายการผลิตใหม่แล้วเสร็จจะทำให้ยอดส่งออกเพิ่มสูงขึ้นกว่าในปัจจุบันซึ่งเป้ฯไปตามนโยบายของบริษัท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.