|
วัสดุก่อสร้าง-น้ำมันแพงดับสเน่ห์หุ้นกลุ่มรับเหมา
ผู้จัดการรายสัปดาห์(21 มกราคม 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
พิษวัสดุก่อสร้าง-น้ำมันขึ้นราคา ทำต้นทุนขึ้น ฉุดมาร์จิ้นหุ้นกลุ่มรับเหมาร่วง แม้จะมีวี่แววจากโครงการภาครัฐหนุนงานในมือเพิ่ม แต่ก็ยังหนีศึกหนักไปไม่พ้น
จากผลกระทบเรื่องราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/50 เป็นต้นมา ส่งผลให้กำไรของหุ้นกลุ่มก่อนสร้างมีแนวโน้มปรับตัวลดลงแม้ว่าจะเริ่มได้รับงานโครงการใหม่ๆเพิ่มขึ้นก็ตาม
นักวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ระบุว่า ผลกระทบจากราคาเหล็ก และน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับนักลงทุนยังไม่มั่นใจว่าหลังจากนี้รัฐบาลใหม่ จะมีการผลักดันโครงการประมูลภาครัฐออกมาอย่างต่อเนื่องเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างปรับตัวลดลงมากกว่ากลุ่มอื่น
แม้ว่าจะมีงานประมูลภาครัฐเพิ่มมากขึ้น แต่ผู้รับเหมาก่อสร้างจะต้องแบกรับภาระราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการที่ชนะการประมูลมากก่อนหน้าที่ราคาวัสดุก่อสร้างจะปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีมาร์จิ้นต่ำลงมาก โดยประเมินว่ามาร์จิ้นของผู้รับเหมาก่อสร้างจะปรับตัวลดลงประมาณ 1%
ทั้งนี้ในบรรดาหุ้นกลุ่มก่อสร้างยังคงมองว่า บมจ.อิตาเลียนไทยดีเวลล๊อปเมนต์(ITD) น่าาจะดูดีสุดเนื่องจากมีงานในมือมากและยังมีผลการดำเนินงานเป็นกำไรขณะที่ บมจ.ช.การช่าง(CK) และ บมจ.ซิ-โนไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(STEC) ยังคงขาดทุนสุทธิต่อเนื่องเพราะได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับ ITD เป็นตัวที่ดูดีที่สุดเนื่องจากมีโครงการสะสมอยู่ถึง 8.5 หมื่นล้านบาท และยังจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานให้เป็นหกำไรสุทธิได้ แต่ขณะนี้แนะนำ"เต็มมูลค่า"ให้ราคาเป้าหมาย 7.20 บาท เช่นเดียวกันกับที่ให้ CK "เต็มมูลค่า"โดยมีราคาเป้าหมาย 8.45 บาท และ STEC แนะนำ"ขาย"ที่ราคาเป้าหมาย 5 บาท
ส่วน รณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน ประเมินว่า จากกรณี บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ได้ลงนามสัญญาจ้างในโครงการก่อสร้างมูลค่าสัญญารวม 609 ล้านบาท ก่อสร้างPolyethylene Train 2 สัญญา มองว่าเป็นการรับงานตามปกติซึ่งมีมูลค่าโครงการไม่น่าตื่นเต้นแต่อย่างใด อาจส่งผลดีต่อจิตวิทยาการลงทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ปัจจัยหลักที่ส่งผลดีต่อจิตวิทยาการลงทุนอย่างเห็นได้ชัด น่าจะมากจากการตอบรับรัฐบาลชุดใหม่ ที่เข้ามาช่วยผลักดันเมกะโปรเจ็กต่างๆมากกว่า
อย่างไรก็ตามมองว่าส่วนผลประกอบการยังน่าเป็นห่วง หากโครงการรถไฟฟ้ายังไม่เริ่มก่อสร้าง เพราะต้นทุนการผลิตจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกด้วยเช่นกัน
ขณะที่บทวิเคราะห์บล.นครหลวงไทย ระบุว่า จากกรณีครม.เห็นชอบโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วง บางซื่อ-รังสิต คาดจะประมูลได้ในเดือนเม.ย. 2551 และลงนามสัญญาก่อสร้างเดือนพ.ค.2551 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าของโครงการ และยังกำหนดให้การรื้อถอนชุมชนในเขตทางเป็นหน้าที่ผู้รับเหมาเช่นเดิม
ทั้งนี้มองว่าข้อกำหนดดังกล่าวเป็นอุปสรรคของการเข้าร่วมประมูลอีกทั้งโอกาสที่ บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) หรือ บมจ.ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) จะสามารถรับงานรถไฟฟ้า 2 สาย ขณะเดียวกันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้รับเหมาขนาดเล็กและทำให้โครงการมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่แล้วเสร็จ(เหมือนโครงการโฮปเวลล์)อีกด้วย
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงจะล่าช้าออกไปและเชื่อว่าจะมีการแก้ไข TOR และประกาศเชิญชวนผู้รับเหมาเข้าร่วมอีกครั้งหลังการได้รัฐบาลชุดใหม่ ยังคงเลือก CK เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม เนื่องจากหากมองในประเด็นต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น CK ดูจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าผู้รับเหมาในกลุ่มเนื่องจากมีระดับอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่เฉลี่ย 9.1%ใน 9เดือนแรก/2550 สูงสุดในกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่
ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.ดีบีเอสวิเคอร์ส (ประเทศไทย) มองว่า การปรับตัวลดลงของหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างทั้งกลุ่ม จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่คาดว่าหลังจากได้รับปัจจัยบวกจากเรื่องการเลือกตั้งที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป ทำให้นักลงุทนเชื่อว่าการก่อสร้างในปี2551 จะเริ่มมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน แม้ว่าตอนนี้การจัดตั้งรัฐบาลยังไม่มีความชัดเจน แต่ทั้งนี้ไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นพรรคการเมืองใดเป็นผู้จัดตั้งก็ตาม ย่อมต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยอาศัยโครงการเมกะโปรเจ็กต์เป็นเครื่องมือกระตุ้น
สำหรับกลุ่มรับเหมาฯ เนื่องจากยังมีความเสี่ยงในเรื่องค่าวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็กที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง จากต้นปีที่ผ่านมาราคาอยู่ที่ 20 บาทต่อกิโลกรัม ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่25 บาทต่อกิโลกรัม รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงเช่นกัน ซึ่งทั้งสองปัจจัยเป็นตัวบั่นทอนการทำกำไร เพราะค่าวัสดุก่อสร้างและค่าขนส่งนั้นคิดเป็น 30% ของต้นทุนการดำเนินงานของกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|