TUFคุยกำไรปีนี้สูงสุด10ปี ซาร์สส่งผลผลิตทูน่ามาไทย


ผู้จัดการรายวัน(27 พฤษภาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

ไทย ยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) บริษัทจำหน่าย ปลาทูน่าสุกแช่แข็ง และกุ้งแช่แข็ง รายใหญ่ คุยปีนี้จะฟันกำไรสูงสุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากปัจจุบัน ความต้องการซื้อปลาทูน่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 1 และผลประกอบการงวดครึ่งปีแรก คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อนมากกว่า 50% ขณะที่หวัดมรณะส้มหล่น ผู้ผลิตทูน่าย้ายฐานผลิตจากจีนมาไทย ยอมรับบาทแข็งกระทบยอดขายบริษัท

นายธีรพงษ์ จันทร์ศิริ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ไทย ยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ คาดว่ากำไรบริษัทปีนี้ จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% จากปีที่แล้ว ซึ่งช่วงไตรมาสแรก บริษัทกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จึงต้องปรับประมาณการผลประกอบการเพิ่มขึ้น จากเดิมที่คาดกำไรปีนี้จะเพิ่ม 20%

สาเหตุที่คาดกำไรเพิ่มขึ้น เพราะความต้องการสินค้าบริษัทเพิ่มขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ และราคาปลาทูน่า แม้จะผันผวนในตลาดโลก แต่คาดว่าครึ่งแรกปีนี้ น่าจะอยู่ที่ 700 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันโดยเฉลี่ย เฉลี่ยทั้งปีนี้ คาด จะอยู่ที่ 650 ดอลลาร์ต่อตัน

ราคาปลาทูน่าผันผวน ตั้งแต่ไตรมาสแรก ราคา 480 ดอลลาร์ต่อตัน แต่ พ.ค.เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 550 ดอลลาร์

บาทแข็งกระทบบริษัท

เขายอมรับว่า ผลกระทบเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อบริษัท มีบ้าง แต่ไม่รุนแรง เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 1 บาทต่อดอลลาร์ จะกระทบยอดขายบริษัทประมาณ 2-3% แต่มั่นใจว่า ระดับปัจจุบันที่ค่าเงินบาทประมาณไม่เกิน 42 บาทต่อดอลลาร์ บริษัทสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่หากแข็งค่าขึ้นมากกว่าค่าดังกล่าว และระยะยาวนานกว่าปัจจุบัน อาจมีผลกระทบมากกว่าที่คาด

ซาร์สส้มหล่นย้ายฐานผลิตมาไทย

"แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น แต่ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทไม่ลดลง โดยเฉพาะสินค้ากุ้งกุลาดำ เพราะมีออร์เดอร์เข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาสแรก สินค้าดังกล่าว มีอัตราเติบโตยอดขายสูงถึง 90% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน หลังจากที่มีผลกระทบโรค ซาร์ส ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาประเทศไทย ดังนั้นทำให้ผมเชื่อว่า ดีมานจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงไตรมาส 3-4 ของปีนี้" เขากล่าว

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลไทยจะตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่จะเริ่มเปิดซื้อขาย ต.ค. นี้ นายธีรพงษ์ 1 ใน 3 โบรกเกอร์ตลาดฯ นี้ ถือว่าเป็นผลดีกับบริษัท เพราะจะทำให้ผู้ผลิตรู้ราคาจำหน่ายล่วงหน้า สามารถกำหนดต้นทุน กำหนดราคาได้ รวมทั้งสามารถวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือนจากปัจจุบัน กำหนดได้แค่ 2 เดือน

ตามที่ได้มีข่าวลือตามห้องค้าหลักทรัพย์โบรกเกอร์วันที่ 12 พ.ค. เกี่ยวกับลูกค้าญี่ปุ่นยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้ากุ้งจากบริษัท เนื่องจากคุณภาพสินค้าไม่ดี บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ ชี้แจงว่า ไม่ เป็นจริงเนื่องจากบริษัทมั่นใจอย่างยิ่งในการจัดหาสินค้าและบริการคุณภาพให้ลูกค้าทั่วโลก

โดยเฉพาะลูกค้าญี่ปุ่น ซึ่งต้องการสินค้าคุณภาพดีเลิศ เห็นได้ว่า ช่วงต้นปีนี้ บริษัทมีผลประกอบการดีมาก ทั้งจากผลิตภัณฑ์กุ้งและทูน่า ตาม ที่แจ้งในการรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2546 ยอดขายกุ้งและทูน่าเติบโตจากปีก่อนถึง 84% และ 13% ตามลำดับ

ทำให้มีรายได้จากการขายรวมสูงถึง 223 ล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้นถึง 15% จาก 193 ล้านดอลลาร์ไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์กุ้ง เติบโตได้ทุกตลาดส่งออก รวมทั้งในอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่ง อัตราเติบโตถึง 163% และ 24%

เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันปีก่อน ขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ทูน่าก็เติบโตอย่างมากในตลาดอเมริกาและญี่ปุ่นเป็น 51% และ 16% ตามลำดับเช่นกัน อีกทั้งปัจจุบัน บริษัทยังคงเห็นความต้องการสินค้ากุ้งและทูน่าจากลูกค้าต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่า สถาบันตรวจสอบคุณภาพสินค้าของซาอุดีอาระเบีย ปฏิเสธสินค้า ทูน่าบรรจุกระป๋องจากบริษัท เนื่องจากตรวจพบว่า มีสารตกค้าง "คลอแรมเฟนิคอล" บริษัทรับว่ามีสินค้า ทูน่าบรรจุกระป๋องถูกปฏิเสธจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย จริง เม.ย. และ พ.ค. รวม 2 เที่ยวเรือ

แต่บริษัทชี้แจงข้อเท็จจริงว่า เป็นที่ทราบกันดี อยู่ว่า วัตถุดิบปลาทูน่าจะถูกจับจากทะเลลึกและนำ มาผ่านกระบวนการผลิตตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิต (Good Manufacturing Practice: GMP) รวมถึงผ่านการวิเคราะห์จุดอันตราย และจุดวิกฤติ ที่ต้องควบคุม (HACCP) ไม่ควรจะมีสารตกค้างใดๆ เหมือนเช่นกรณีวัตถุดิบจากการเพาะเลี้ยง

อีกทั้งบริษัทใส่ใจวิธีการปฏิบัติ ตามที่สถาบันตรวจสอบคุณภาพของไทยกำหนด รวมถึงได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ซึ่งพบว่า การตรวจสารคลอแรมเฟนิคอล ไม่ได้มีรายการอยู่ในการตรวจสอบของซาอุดีอาระเบีย

ดังนั้น รัฐบาลไทยกำลังประสานงานกับซาอุดีอาระเบีย เทียบความชัดเจนการตรวจสอบตาม วิธีการและมาตรฐานที่กำหนด บริษัทจึงเห็นว่า กรณี ดังกล่าว จะไม่กระทบบริษัทมากนัก เนื่องจากบริษัทสามารถส่งออกสินค้าดังกล่าวไปตลาดอื่นที่มีกฎระเบียบแตกต่างกันได้

ราคาหุ้น TUF วานนี้ปิดเพิ่ม 10 สตางค์ ที่ 21.70 บาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.46% ด้วยมูลค่าซื้อขาย ทั้งสิ้นเพียง 8.30 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหลัก ทรัพย์วานนี้ปิดเขยิบ 1.36 จุด เพิ่มขึ้น 0.34% มูลค่า ซื้อขายถึง 11,583.57 ล้านบาท



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.