|

"ก๊วนแม้ว"ใช้ตลาดหุ้นสร้างภาพ ดันดัชนีพุ่ง 30 จุดรับรัฐบาลนอมินี
ผู้จัดการรายวัน(26 ธันวาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
หุ้นกลุ่มการเมืองเก่าคึก ดันดัชนีตลาดหุ้นพุ่ง 30 จุด หวังสร้างภาพตบตาว่าเป็นกระแสตอบรับรัฐบาลนอมินี สวนทางกับรายย่อยทิ้งที่หุ้นกว่า 4 พันล้านบาท "เอสซี แอสเสทฯ" ที่มี "แพทองธาร-พิณทองทา ชินวัตร" ถือหุ้นใหญ่ พุ่งเกือบ 24% ขณะที่วินโคสท์ฯ ของตระกูลวงศ์สวัสดิ์ไม่น้อยหน้า เด้งรับกว่า 10% โบรกเกอร์ชี้ ต่างชาติหวนซื้อสุทธิแค่ทำราคาปิดงบการเงิน ด้าน "ประยุทธ" แจงบิ๊กล็อต INOX เกือบ 1.5 พันล้านบาท แค่ "เลควูด แลนด์" ขายหุ้นให้ลูกสาว 2 คนเท่านั้น
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (25 ธ.ค.) ซึ่งเปิดเป็นวันแรกหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังได้แรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่รวมถึงหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองเก่า ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 843.28 จุด เพิ่มขึ้น 29.68 จุด หรือ 3.65% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 843.35 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 817.69 จุด มูลค่าการซื้อขาย 19,311.51 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,207.37 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,798.70 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 4,006.07 ล้านบาท
โดยราคาหุ้นที่มีความใกล้ชิดกับกลุ่มการเมืองเก่า เช่น บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ที่มีน.ส.แพทองธาร และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่, บมจ.เอ็ม ลิงค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น หรือ MLINK มีตระกูลวงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นเครือญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่, บมจ.วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค หรือ WIN ซึ่งมีตระกูลวงศ์สวัสดิ์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แต่ได้ขายหุ้นออกเกือบทั้งหมด ก่อนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา , บมจ.ชินแซทเทลไลท์ หรือ SATTEL, บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ SHIN, บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC เป็นต้น ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นตอบรับกลุ่มการเมืองเก่าได้รับคะแนนเสียงจน เป็นพรรคที่มีสิทธิจัดตั้งรัฐบาล
ทั้งนี้ราคาหุ้น SC วานนี้ ปิดที่ 12.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.40 บาท หรือ 23.76% มูลค่าการซื้อขาย 378.33 ล้านบาท, หุ้น WIN ราคาปิดที่ 1.29 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท หรือ 10.26% มูลค่าการซื้อขาย 103.96 ล้านบาท, หุ้น SATTEL ราคาปิดที่ 10.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.85 บาท หรือ 9.09% มูลค่าการซื้อขาย 145.04 ล้านบาท, ราคาหุ้น BLISS ราคาปิดที่ 10.70 บาท เพิ่มขึ้น 2.40 บาท หรือ 28.92% มูลค่าการซื้อขาย 265.42 ล้านบาท
ขณะที่หุ้น SHIN ราคาปิดที่ 25.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ 3.24% มูลค่าการซื้อขาย 8.02 ล้านบาท, ราคาหุ้น ADVANC ราคาปิดที่ 98 บาท เพิ่มขึ้น 7 บาท หรือ 7.69% มูลค่าการซื้อขาย 387.51 ล้านบาท, ราคาหุ้น MLINK ราคาปิดที่ 1.35 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 22.73% มูลค่าการซื้อขาย 147.20 ล้านบาท, หุ้น IEC ราคาปิดที่ 1.53 บาท เพิ่มขึ้น 0.28 บาท หรือ 22.40% มูลค่าการซื้อขาย 920.16 ล้านบาท
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังได้แรงหนุนจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นดาวโจนส์กว่า 260 จุด ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 94 เหรียญจากเดิมที่อยู่ที่ 91 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจึงทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน
นอกจากนี้ ปัจจัยภายในประเทศหลังจากการเลือกตั้งภายในประเทศที่ผ่านมามีการเลือกตั้งเป็นไปได้อย่างเรียบร้อย ถึงแม้การจัดตั้งรัฐบาลจะยังไม่มีความชัดเจน แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่ระบบประชาธิปไตย
ทั้งนี้ จากกรณีที่พรรคพลังประชาชนได้คะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งส่งผลให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองต่างได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรค่อนข้างมาก แต่ต้องระวังอาจจะมีการขายทำกำไรออกมา
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นดีกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคโดยเพิ่มขึ้น 3.6% โดยปัจจัยหลักจะมาจากนักลงทุนต่างประเทศและกองทุนต่างๆเข้ามาทำราคาเพื่อปิดงวดบัญชี (window dressing) ประกอบกับปัจจัยการเมืองในประเทศถือว่ามีความชัดเจนมากขึ้น โดยคาดแนวรับที่ระดับ 830 จุด แนวต้านที่ระดับ 845-850 จุด
แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ถือว่าเป็นผลตอบรับทางจิตวิทยาจึงทำให้มีแรงเข้ามาเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองเนื่องจากอาจจะมีโอกาสมากขึ้นในการเข้าร่วมประมูลงาน หรือการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาจจะทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อว่าในท้ายที่สุดราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงมาสะท้อนกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเอง
ทั้งนี้ นักลงทุนที่คิดจะเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะต้องรอจังหวะที่เหมาะสมเนื่องจากราคาหุ้นแม้ว่าก่อนหน้านี้หุ้นหลายบริษัทจะปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากแต่ก็เริ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังข่าวผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะมีการขายทำกำไรออกมาหลังราคาหุ้น
บิ๊กล็อต INOX กว่า 1.5 พันล้านบาท
ตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงานข่าวว่า วานนี้มีการทำรายการซื้อขายในกระดานรายใหญ่ของหุ้น บมจ.ไทยน๊อคซ์สเตนเลส หรือ INOX มีการทำรายการ 16 รายการ รวม 1,216.37 ล้านหุ้นหรือ 15.20% ของหุ้นทั้งหมด 8,000 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็น14 รายการ รายการละ 80 ล้านหุ้น, อีก 1 รายการจำนวน 50 ล้านหุ้น และอีก 1 รายการจำนวน 46,365,000 หุ้น ในราคา 1.20 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวม 1,459.63 ล้านบาท
นายประยุทธ มหากิจศิริ ประธานกรรมการและผู้อำนวยการใหญ่บมจ.ไทยน๊อคซ์สเตนเลส หรือ INOX กล่าวว่า การทำรายการซื้อขายหุ้นของบริษัทในวันนี้เป็นการทำรายการโดยบริษัทเลควูด แลนด์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ INOX ได้ขายหุ้นให้แก่ ลูกสาว 2 คน โดยใช้ชื่อผู้ถือหุ้นเป็น นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ซึ่งเป็นน้องสาวของนางสาวอุษณีย์ มหากิจศิริ เพราะนางสาวอุษณีย์ รับราชการอยู่
ทั้งนี้ การทำรายการซื้อขายดังกล่าวทำให้ลูกสาวทั้งสองคนเข้ามาถือหุ้น INOX ทั้งสิ้นประมาณ 25% ขณะที่ลูกชาย คือ นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ถือหุ้น INOX ประมาณ 25% เช่นกัน
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น INOX วานนี้ราคาปิดที่ 1.23 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือ 1.65% มูลค่าการซื้อขาย 4.33 ล้านบาท
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|