หุ้นทรุดหวั่นนอมินีแม้วรีเทิร์นปตท.พ่นพิษฉุดมูลค่าตลาดหุ้นหาย4แสนล.


ผู้จัดการรายวัน(21 ธันวาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

"ปกรณ์" โอดคดีปตท.ฉุดมาร์เกตแคปตลาดรวมหาย 4 แสนล้าน ขณะที่ปตท.รูด 1.4 แสนล้านบาท จี้ใช้บรรทัดฐานการตัดสินคดีปตท.เป็นมาตรฐานในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆในอนาคต ประกาศปีหน้าลุยเพิ่มสินค้าใหม่เพิ่มทางเลือก ด้านนายกสมาคมบลจ.ครวญคดีปตท.ทำให้วงการกองทุนปั่นป่วน ระบุเตรียมหารือก.ล.ต.อีกครั้งเพื่อหาแนวทางที่ชัดเจนรับมือการสั่งห้ามซื้อหุ้นเหตุกระทบการคำนวณทรัพย์สินกองทุน ขณะที่โบรกเกอร์ชี้นักลงทุนห่วงปัญหาการเมืองระอุหลังโพลล์ชี้การเมืองเก่ามีสิทธิตั้งรัฐบาล

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (20 ธ.ค.) ดัชนียังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบคดีบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย บวกกับผลการสำรวจผลการเลือกตั้งที่หลายสำนักระบุว่ พรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นกลุ่มอำนาจเก่าจะได้รับเลือกตั้งในฐานะพรรคอันดับ 1 ได้สร้างความกังวลว่าอาจจะเกิดปัญหาความรุนแรงตามมา แม้ว่าจากสถิติที่ผ่านมาก่อนการเลือกตั้งดัชนีตลาดหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นก็ตาม โดยดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 791.71 จุด ลดลง 13.27 จุด หรือ 1.65% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 807.38 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 790.87 จุด มูลค่าการซื้อขาย 13,360.57 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาหุ้น PTT ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อนุญาตให้ซื้อขายได้อีกครั้ง โดยปิดที่ 330 บาท ลดลงจากวันก่อน 10 บาท หรือ 2.94% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,809.75 ล้านบาท ทำให้ราคาหุ้น PTT ร่วงติดต่อกัน 3 วันรวม 38 บาท โดยวานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,512.37 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 593.93 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,918.44 ล้านบาท

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า คำตัดสินคดีปตท. ควรจะถูกใช้เป็นบรรทัดฐานและกรอบในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ที่เตรียมจะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากคำตัดสินอยู่บนมาตรฐานของความโปร่งใสและความยุติธรรมกับทุกฝ่าย

"แม้ว่าคำตัดสินที่ออกมาจะถือว่าสิ้นสุด แต่นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศอาจจะยังไม่มั่นใจต่อปัญหาที่จะตามมาไม่ว่าจะเป็นการคิดค่าเช่าจากการใช้ท่อก๊าซซึ่งอาจจะสูงกว่า 5% ตามที่มีการคาดการณ์ไว้ ซึ่งหากต้องจ่ายค่าเช่าสูงกว่า 5% ตัวเลขที่ชัดเจนว่าควรเป็นเท่าใดในขณะนี้ก็ยังไม่สามารถตอบได้จึงทำให้เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นความเสี่ยงในการลงทุน"

สำหรับผลกระทบจากกรณีปตท.หากคิดตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.ซึ่งเป็นวันที่ศาลรับคำร้อง มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ปรับตัวลดลงแล้ว 1.4 แสนล้านบาท และทำให้ส่งผลกระทบต่อมาร์เกตแคปรวม 4 แสนล้านบาท แต่หากคำนวณจากวันที่ 14 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำตัดสินมาร์เกตแคปของปตท.ลดลง 1.07 แสนล้านบาท ขณะที่ตลาดรวมลดลงถึง 3.6 แสนล้านบาท

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นนักลงทุนควรจะพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก รวมทั้งจะต้องประเมินถึงความเสี่ยงจากเรื่องอื่นๆประกอบด้วย แต่หากจะพิจารณาถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าที่คากว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 14-15% ถือว่าเป็นข่าวที่ดีต่อการลงทุน

นอกจากนี้ ในปีหน้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเน้นการเพิ่มสินค้าเพื่อเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีฟุซซี่ 6 ประเภท ซึ่งประเภทแรกที่จะนำเสนอกับนักลงทุนจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 โดยเป็นดัชนีที่อ้างอิงหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่และจะมีดัชนีที่อ้างอิงหุ้นขนาดเล็กตามมา รวมทั้งยังมี Stock Options ซึ่งเป็นที่นิยมในต่างประเทศออกอีก 35 รายการ และยังมี ETF ที่จะอ้างอิงกับดัชนีหลักทรัพย์อื่นนอกเหนือจาก SET50 ส่วนในระยะยาวก็อาจจะมีสินค้าประเภทที่แปลกใหม่เพิ่มขึ้นเสมือนการซื้อหุ้นต่างประเทศโดยตรงอีกโดยอยู่ระหว่างการศึกษา

กังวลอำนาจเก่าตั้งรัฐบาล

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ปกติแล้วในช่วงที่ใกล้เลือกตั้งตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ขณะนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงนั้นเนื่องจากการสำรวจประชามติที่ออกมาพบว่าพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นกลุ่มรัฐบาลเดิมจะกลับมาใหม่ซึ่งกังวลว่าจะเกิดปัญหาความมั่นคงการเมือง จึงทำให้นักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนไทยไม่มีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

นอกจากนี้ กรณีเรื่องของปตท.นั้นทำให้นักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมา แม้ปตท.จะเข้าจดทะเบียนมาในตลาดหุ้นแล้วเป็นเวลา 5-6 ปี แล้วก็ตาม จึงส่งผลทำให้ภาพพจน์ของประเทศไทยไม่ค่อยดีต่อไปอีก 6 เดือน

สำหรับในปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยถือว่ามีความผันผวนสูงถึง 300 จุด ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ในรอบ 5 ปีที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงและปรับตัวลดลงมาสู่จุดต่ำสุด ซึ่งปัจจัยหลักที่ตลาดหุ้นผันผวนสูงเกิดจากปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำของสหรัฐฯ (ซัพไพรม์) และปัจจัยทางการเมือง

กองทุนป่วนคำนวณNAVไม่ได้

นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี ประเทศไทย จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบลจ. เปิดเผยว่า คดีการพิจารณาการแปรรูปบมจ.ปตท. ถือว่าสร้างความปั่นปวนให้กับวงการบลจ.ค่อนข้างมาก หลังจากการขึ้นเครื่องหมายห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ชั่วคราวจนส่งผลทำให้กองทุนต่างๆที่พอร์ตลงทุนมีหุ้น PTT ไม่สามารถคำนวณมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ได้

ทั้งนี้ ผลจากเรื่องดังกล่าวทำให้ไม่สามารถจ่ายคืนเงินลงทุนที่นักลงทุนไถ่ถอนหน่วนลงทุนได้ซึ่งกองทุนบางแห่งได้สั่งหยุดการซื้อขายหน่วยลงทุนใหม่ชั่วคราว โดยในเรื่องดังกล่าวหลังจากหารือระหว่างสมาคมบลจ.กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สรุปแนวทางในการแก้ปัญหาด้วยการจ่ายคืนเงินบางส่วนโดยให้ตัดส่วนที่ถือครองหุ้น PTT ออกไปก่อนจนกว่าจะหาราคาปิดที่แท้จริงได้ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้สมาคมอาจจะต้องมีการหารือกับก.ล.ต.เพิ่มเติมเพื่อร่วมกำหนดแนวทางที่ชัดเจนรองรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต

"คดีปตท.สร้างความปั่นปวนทั่ววงการกองทุน เพราะปตท.ซึ่งมีสัดส่วนในตลาดหุ้นถึง 16% การเปลี่ยนแปลงของราคาส่งผลกระทบทางหนึ่งทางใดแน่นอน โดยหลังจากที่หุ้นสามารถกลับมาเปิดซื้อขายได้ปัญหาที่เราเจอคือบลจ.ทั้ง 21 แห่งต้องมาคำนวณ NAV ย้อนหลังทั้งหมดซึ่งหากโดนห้ามซื้อขายนานกว่านี้ปัญหาคงมากขึ้นตามไปด้วย"นายมาริษกล่าว

ฝรั่งขายทิ้งแล้ว 5.2หมื่นล.

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยฯ บล.เคจีไอ กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติยังเทขายสุทธิอย่างต่อเนื่องโดยในเดือนพ.ย.มีการขายสุทธิ 3.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่เดือนธ.ค.จนถึงล่าสุดมีการขายสุทธิแล้ว 1.4 หมื่นล้านบาท รวมกว่า 5.2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากยังมีการประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะแย่กว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้จึงมีความจำเป็นต้องขายทำกำไรและถือเงินสดเพื่อถือครองเพื่อลดความเสี่ยง

ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจัยเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนรอคอยแต่เชื่อว่าหลังการเลือกตั้งตลาดหุ้นไทยจะยังอยู่ในทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงลงทุน คือ กลุ่มพลังงานเนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันอาจจะมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลง หุ้นกลุ่มเดินเรือและกลุ่มเคมีภัณฑ์ ขณะที่กลุ่มที่เชื่อว่าจะได้รับผลดีหลังการเลือกตั้ง เช่น กลุ่มธนาคารและกลุ่มสื่อสาร


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.