|
วัสดุก่อสร้าง-รับสร้างบ้านขึ้นราคาขาย "ตราเพชร"หั่นส่วนลดตัวแทนจำหน่ายอีก3%
ผู้จัดการรายวัน(19 ธันวาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง และบริษัทรับสร้างบ้าน สุดอั้นปรับราคาขาย หลังต้นทุนการผลิตพุ่ง "กระเบื้องหลังคาตราเพชร" ปี2551ขอตัดส่วนลดตัวแทนจำหน่ายอย่างน้อย 3% หวังรักษากำไร พร้อมเผยลูกค้าขอชะลอก่อสร้างโครงการกว่า 80% โดยเฉพาะโครงการภาคตะวันออก คาดว่าทั้งปียอดขายรวม2,600ล้านบาท โต 6% ด้านกลุ่มบริษัท บิวท์ ทู บิวด์ ปรับขึ้นราคารับสร้างบ้านต้นธ.ค.ที่ผ่านมาอีก 5%
นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายการขายและการตลาด บริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาต้นทุนก่อสร้างได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผลสืบเนื่องมาจากภาวะราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาวัสดุเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% ส่งผลให้ต้นทุนโดยรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 3% ดังนั้นในปี 2551 บริษัทมีแผนจะปรับราคาขายขึ้นอย่างน้อย 3% โดยจะเป็นการตัดส่วนลดที่ให้แก่ตัวแทนจำหน่ายลง จากเดิมที่จะได้ส่วนลดจากสินค้าปกติเฉลี่ยอยู่ที่ 20% จะลดลงเหลือ 17% ขณะที่ตลาดส่งออกต่างประเทศก็ตัดส่วนลดให้แก่ตัวแทนจำหน่ายลงเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนในการผลิตขยับสูงขึ้นมาจากวัตถุดิบจากปูนซีเมนต์ ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศและวัตถุดิบจากสี
"แม้ว่าบริษัทฯ จะพยายามปรับกลยุทธ์ด้านการขนส่ง เพื่อลดต้นทุนเนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว โดยให้ร้านค้ามารับสินค้าเองมากขึ้น และยังหันมาขนส่งสินค้าทางน้ำในเส้นทางที่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็น เส้นทางเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ตลอดจนบริษัทฯได้หันมาใช้ก๊าซธรรมชาติ NGV เป็นเชื้อเพลิงในรถบรรทุกขนส่งสินค้าของบริษัทฯ แทนน้ำมันดีเซล เชื่อว่าจะทำให้บริษัทฯ ประหยัดต้นทุนได้ระดับหนึ่ง แต่ต้นทุนการผลิตก็ยังปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสีที่เป็นวัตถุดิบ ราคาขยับสูงขึ้น"
ที่ผ่านมา ลูกค้างานก่อสร้างของบริษัทในปีนี้มีถึง 80% ที่ขอชะลอการก่อสร้างออกไป โดยเฉพาะโครงการในภาคตะวันตก ประเภทโครงการรีสอร์ตและสปา เนื่องจากไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจและการเมือง แต่คาดว่าในต้นปีหน้าสถานการณ์จะเริ่มปรับสู่ทิศทางที่ดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจไทยผ่านช่วงตกต่ำที่สุดมาแล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าการเมืองหลังจากการเลือกตั้งจะมีความชัดเจนขึ้น
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนเป็นเงิน 465 ล้านบาทเพื่อเดินสายการผลิตไฟเบอร์ซีเมนต์ ขนาดตั้งแต่ 4 มม.-20 มม. เพื่อผลิตแผ่นพื้นผนัง ในไลน์ที่ 9 โดยใช้เวลาก่อสร้าง 18 เดือน คาดว่าจะเริ่มกำลังการผลิตได้ในไตรมาส 2 ของปี 2552 จะมีกำลังการผลิต 60,000 ตันต่อปี ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 600 ล้านบาท สำหรับในปี 2549 บริษัทมียอดขาย 2,400 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนของปีนี้ บริษัทมียอดขาย 1,974 ล้านบาท คาดว่าในปีนี้จะมียอดขายรวม 2,600 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 6% คิดเป็นยอดขายในประเทศ 90% อีก 10% เป็นยอดขายจากต่างประเทศ ส่วนในปี 2551 คาดว่าจะมียอดขายรวมเพิ่มขึ้นจากปีนี้ 10%
นายสาธิตกล่าวต่อว่า ในปีหน้าบริษัทมีแผนจะออกสินค้าในกลุ่มเจียระไนอีก 2-3 แบบ ในกลุ่มแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ โดยจะมีกระเบื้องหลังคาดีไซน์ใหม่ นอกจากรูปแบบเดิมที่เป็นกระเบื้องว่าว โดยจะดีไซน์ออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมพื้น ,สี่เหลี่ยมคางหมู และรูปปลายมน โดยที่การทำตลาดจะเน้นไปยังตลาดซ่อมแซมบ้านมากขึ้น(รีโนเวท) ขณะเดียวกันในปีหน้าบริษัทมีแผนจะตั้งทีมฝึกอบรมในต่างจังหวัด อีก 2-3 แห่ง
ด้านนายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้านระดับคุณภาพ กล่าวว่า จากภาวะต้นทุนก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้น บริษัทจึงได้มีการปรับราคาค่าก่อสร้างไปขึ้นมา 5% ในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยราคาก่อสร้างของบิวท์ทูบิวด์อยู่ที่ 14,000-18,000 บาทต่อตร.ม. ขณะที่ บางกอกเฮ้าส์ราคาอยู่ที่ 8,000-11,000 บาทต่อตร.ม. ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนยูนิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 100 ยูนิต และทำสัญญาแล้วอีก 60 ยูนิต
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|