|

ต่างชาติไล่ช้อปโรงแรมไทยเทรนด์ใหม่ซื้อฟันกำไรก่อนขายทิ้ง
ผู้จัดการรายสัปดาห์(17 ธันวาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
กระแสการเข้าเทคโอเวอร์โรงแรมระดับ 2-3 ดาวในประเทศไทยของกลุ่มทุนต่างชาติที่ผ่านมาเริ่มร้อนแรงขึ้นเพราะนั่นคือแผนกลยุทธ์ที่ถูกวางไว้สำหรับเข้ามาเพื่ออัฟเกรดให้มีมาตรฐานเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว พร้อมเร่งขยายอาณาจักรหวังสร้างแบรนด์ เตรียมกวาดนักท่องเที่ยวในแหล่งยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวช่วงฤดูกาลไฮซีซัน
ภูเก็ตและหัวหิน กลายเป็นโลเคชั่นที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถสร้างเม็ดเงินได้เป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะอยู่ในระดับไฮเอนท์มีกำลังการซื้อสูง ล่าสุดกลุ่มทุนอเมริกันยอมทุ่มเม็ดเงินหลายพันล้านบาทเพื่อกวาดซื้อโรงแรมไทยลอตใหญ่ทั้งในแถบชายฝั่งของภูเก็ตและหัวหิน
สอดคล้องกับที่แบรนด์ดังอย่างแมริออทของถิ่นมะกันที่ส่ง “คอร์ยาร์ด” เข้ามาชิมรางเมื่อหลายเดือนก่อน โดยล่าสุด 4 รีสอร์ทหรูแถบชายหาด ทั้งภูเก็ตและหัวหินอย่าง แกรนด์ ทรอปิคานา ป่าตอง – สุรินทร์ บีช –กมลา บีชการ์เด้นท์ ภูเก็ต และทิพย์วิมาน ชะอำ ได้ถูกเทคโอเวอร์และปรับปรุงยกระดับอัฟเกรดมาตรฐานให้อยู่ในระดับ 4 ดาวโดยใช้ชื่อ"คอร์ทยาร์ด บาย แมริออท"บริหารจัดการไปเรียบร้อย
ว่ากันว่าแหล่งเงินทุนของกลุ่มต่างชาติ ส่วนใหญ่จะมาจากสถาบันการเงินในต่างประเทศที่มีศักยภาพสูงทางด้านการเงินและถูกใช้ประโยชน์ในเรื่องของอำนาจการต่อรองกับกลุ่มโรงแรมที่ต้องการจะขาย อาทิเชนแมริออท มีบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส (Lehman Brothers) เป็นที่ปรึกษาการลงทุนและเป็นสถาบันการเงินหลักให้ ซึ่งรูปแบบการลงทุนของบริษัทที่ผ่านมา จะเป็นการเข้ามาเทคโอเวอร์โรงแรมขนาด 2-3 ดาวในประเทศไทย ก่อนทำการปรับปรุงใหม่ เพื่อยกระดับเป็นโรงแรมระดับ 4-5 ดาว หลังจากนั้นจะให้เชนต่างประเทศเข้ามาบริหารเพื่อขายกิจการต่อไป
ที่ผ่านมาเชนแมริออทมีการเข้าไปเทคโอเวอร์โรงแรมแล้วจำนวน 4 แห่ง อาทิ โรงแรมฮิลตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.ประจวบคีรีขันธ์, โรงแรมรามาดา รีสอร์ท กะรน บีช จ.ภูเก็ต โรงแรมอลีลา ภูเก็ต รีสอร์ท (Alila Phuket Resort) จ. ภูเก็ต
สอดคล้องกับที่ มร.แอนโทนี อาร์มัส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประจำประเทศไทย เครือโรงแรมแมริออทอินเตอร์เนชั่นแนล ว่า มีแผนเพิ่มจำนวนโรงแรมในแบรนด์คอร์ทยาร์ด อีก 4 แห่ง คือภูเก็ต 3 แห่ง ด้วยจำนวนห้อง 170-400 ห้อง และที่ อ.ชะอำ เพชรบุรี จำนวน 200ห้อง คาดว่าจะเปิดทำการได้ในช่วงไตรมาส 3/51 โดยกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นนักท่องเที่ยว 70% และลูกค้าประชุมสัมมนา 30% ล่าสุดเปิดให้บริการแบรนด์ใหม่ โรงแรมคอร์ทยาร์ด โดยแมริออท กรุงเทพฯ ย่าน ถ.ราชดำริ เน้นกลุ่มสัมมนา 70% และกลุ่มนักท่องเที่ยว 30% คาดจะมีอัตราการเข้าพัก 70%
นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาโครงการ "ดับเบิ้ลทรี บาย ฮิลตัน กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา" จ.ชลบุรี ที่มีห้องพักทั้งหมด 358 ห้องพร้อมสนามกอล์ฟระดับเวิลด์คลาส ซึ่งคาดว่าจะสามารถให้บริการได้ภายในปี 2008 และมีการวางเป้าหมายโครงการให้เป็นกอล์ฟ รีสอร์ท ที่ดีที่สุดในประเทศไทย ซึ่งโครงการดังกล่าวมีแนวโน้มว่าจะถูกบริหารจัดการโดยบริษัท ฮิลตัน อินเตอร์เนชั่นแนล
แม้ว่าการเข้าเทคโอเวอร์กิจการโรงแรมและรีสอร์ทในจังหวัดท่องเที่ยวทางภาคใต้ของกลุ่มทุนต่างชาติจะสร้างความคึกคักให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่...แต่ที่ผ่านมากลับส่งผลกระทบต่อบริษัทท่องเที่ยวที่รับลูกทัวร์ไว้ก่อนหน้านั้น เพราะหลังจากที่ปิดปรับปรุงเพื่ออัฟเกรดให้เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นมาบริษัทนำเที่ยวหลายแห่งที่ต้องส่งลูกค้าไปยังโรงแรมรีสอร์ทนั้นๆต้องเปลี่ยนสถานที่พักกะทันหันซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ประกอบการนำเที่ยว
ผู้เชี่ยวชาญด้านท่องเที่ยวหลายคนระบุว่าการที่มีเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมและรีสอร์ทในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากสภาพคล่องทั่วโลกที่มีอยู่สูง จนต้องหาที่ลงทุน และเงินส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มทุนตะวันออกกลางที่เป็นการลงทุนแบบไพรเวท อิควิตี้(Private Equity) หรือการลงทุนในกิจการที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งลักษณะการลงทุนจะจ้างมืออาชีพด้านการลงทุนบริหารเงินให้
ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป และสิงคโปร์ เข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท แต่อาจจะเป็นเพียงผู้บริหารเงินลงทุนเท่านั้น เจ้าของเงินตัวจริงอาจจะไม่ใช่ ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าการลงทุนในลักษณะไพรเวท อิควิตี้ ถือเป็นแนวโน้มใหม่ของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในไทย ซึ่งนักลงทุนลักษณะนี้มี 2 ประเภท คือ บางส่วนก็พัฒนาทรัพย์สินที่ลงทุน และบางส่วนก็ไม่พัฒนา แต่นักลงทุนทั้งสองกลุ่มมีเป้าหมายเหมือนกัน คือ เมื่อลงทุนสักระยะหนึ่ง และเห็นว่าได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายก็จะขายทรัพย์สินเพื่อทำกำไรหอบเงินกลับประเทศตัวเอง
ขณะเดียวกันลักษณะการลงทุนดังกล่าวมักเกิดขึ้นให้เห็นในแถบประเทศที่พัฒนาแล้ว สำหรับประเทศไทยนับว่าเป็นเรื่องดีเพราะนอกจากจะสร้างแรงกระตุ้นให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ดูมีสีสันมากขึ้นแล้วยังทำให้ประเทศไทยมีสถานที่พักโรงแรมรีสอร์ทที่ได้มาตรฐานเพิ่มขึ้นสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างพอเพียง
เนื่องจากประเทศไทยยังขาดแคลนโรงแรมระดับ 5 ดาวที่จะรองรับการเข้าพักของทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงแรมระดับ 5 ดาวในเขตซีบีดีหรือย่านใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ เนื่องจากที่ดินค่อนข้างหายาก แต่ความต้องการลงทุนยังมีอยู่ ส่งผลให้ราคาที่ดินถีบตัวสูงมาก
ขณะที่ต่างชาติมีความต้องการที่จะเข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงแรมระดับ 5 ดาว เพราะใช้ระยะเวลาในการคืนทุนเพียง 5-10 ปี ซึ่งกลุ่มทุนกำลังมาแรงคือกลุ่มทุนจากดูไบ โดยการลงทุนจะเป็นแบบครบวงจรมากขึ้นขึ้น คือมีทั้งโรงแรม คอนโดมิเนียม และศูนย์การค้าภายในโครงการเดียวกันเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนแบบมืออาชีพ นอกจากนั้นยังมีกลุ่มทุนจากประเทศ อังกฤษ อินเดีย ที่ชอบลงทุนในธุรกิจโรงแรม 5 ดาวขนาดเล็กพื้นที่ 1-2 ไร่ แนวบูทีคโฮเท็ล ก็เริ่มที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเช่นกัน
ล่าสุดย่านธุรกิจราชดำริกลายเป็นจุดขายที่กลุ่มแมริออทสนใจ และก็สามารถร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัท เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด ได้สำเร็จโดยกลุ่มเอราวัณฯเป็นผู้ลงทุนสร้างใช้งบประมาณกว่าพันล้านบาท ส่วนการบริหารจัดการใช้เชน “แมริออท”ภายใต้ชื่อโรงแรมคอร์ทยาร์ด โดย แมริออท กรุงเทพ
ลักษณะเป็นการปรับปรุงเซอร์วิสอพาธเม้นท์ "พาร์คเลน แมนชั่น" มาเป็นโรงแรมคอร์ทยาร์ด ซึ่งถือเป็นโรงแรมในเครือแมริออทแห่งแรกที่ใช้ชื่อ "คอร์ทยาร์ด" ในประเทศไทยและเป็นโรงแรมแห่งที่ 4 ระดับ 4 ดาว โดยกลุ่มเป้าหมายนั้นจะเป็นโรงแรมสำหรับนักธุรกิจที่มองหาที่พักระยะยาว ตั้งอยู่ในซอยมหาดเล็กหลวง มีห้องพักทั้งหมด 318 ห้อง ภายในโครงการมีห้องประชุมสัมมนาจำนวน 5 ห้อง ห้องอาหาร สปอร์ตคอมเพล็กซ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ปัจจุบันโรงแรมในกรุงเทพเปิดใหม่ขึ้นมาจำนวนมาก ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมมีการแข่งขันสูงมาก โดยเฉพาะในย่านสุขุมวิทและราชดำริมีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการพำนักระยะยาว แต่ในส่วนของคอร์ทยาร์ดนั้นค่อนข้างได้เปรียบมากกว่า เพราะเป็นโรงแรมที่มีมาตรฐานและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|