|

ปี51ปัจจัยลบอื้อ กำลังซื้อบ้านลด
ผู้จัดการรายวัน(17 ธันวาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
“ธารารมณ์” ชี้ปีหน้าปัจจัยลบเพียบฉุดกำลังซื้อลดบ้านลด ระบุความเชื่อมั่นผู้บริโภคเปราะบางแถมผันผวน แนะผู้ประกอบการทำตลาดให้ทัน เชื่อปีหน้าบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์กลับมา ขณะที่ตลาดคอนโดฯมีแนวโน้มลดลงเหตุตลาดดูดซับไปมากแล้ว ด้านผลการดำเนินงานลด 10% สร้างยอดขายได้ 1,300 ล้านบาท ปีหน้าเชื่อตลาดบ้านเดี่ยวกลับคืน ตั้งเป้ายอดขาย 1,500 ล้านบาท
นายวสันต์ เคียงศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2551 ว่า ตราบใดที่ยังมีการขยายตัวของครัวเรือน โดยในเขตกรุงเทพฯ มีการขยายตัวของประชากรอย่างถูกต้องปีละ 6 ล้านคน และหากรวมประชากรที่เข้ามาอยู่อาศัยแฝงเป็น 10 ล้านคน ทำให้ยังเชื่อว่ามีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องอยู่นั้นเอง แต่ความต้องการดังกล่าวอาจมีการชะลอตัวไปบ้างเนื่องจากขาดความเชื่อมั่นในหลายๆด้าน หรือมีการย้ายไปตลาดอื่น
ทั้งนี้ผู้ที่ซื้อบ้านใหม่หากเป็นคนรุนใหม่ คนโสด ทำงานในเมืองอาจมีความต้องการคอนโดมิเนียมในเมือง เพราะใกล้แหล่งงาน การเดินทางสะดวก โดยส่วนใหญ่กลุ่มคนเหล่านี้อาศัยอยู่คนเดียวทำให้คอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอนหรือห้องสตูดิโอได้รับความนิยมมาก ส่วนคนที่มีครอบครัวแล้วจะหันไปซื้อบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ย่านชานเมือง ซึ่งปัจจุบันถนนวงแหวนใต้เปิดให้บริการแล้ว ทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น เป็นการเปิดหน้าดินหรือเปิดทำเลใหม่ขึ้น
“ในปีหน้าเชื่อว่าความต้องการคอนโดฯ น่าจะลดลงมา เนื่องจากตลาดได้ถูกดูดซับไปมากพอสมควรแล้ว โดยบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์น่าจะดีขึ้น เพราะเมื่อดูจากสถิติยอดขายในช่วง 5 เดือนหลังมานี้เรามียอดขายที่ดีกว่าช่วง 7 เดือนแรกมาก สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการเริ่มกลับเข้าสู่ตลาด เชื่อว่าในปีหน้าบ้านเดี่ยวจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 15-20% เมื่อเทียบกับปี 49” นายวสันต์กล่าว
สำหรับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในปัจจุบันค่อนข้างเปราะบางมาก พิจารณาได้จากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านเมื่อเกิดเหตุไม่ดีผู้บริโภคจะชะลอการตัดสินใจซื้อทันที อีกทั้งยังมีความผันผวนตามภาวการณ์ต่างๆ ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องมองให้ออกว่าในแต่ละช่วงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเป็นอย่างไรและทำตลาดให้ทัน เพราะในปัจจุบันการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคไม่ได้ขึ้นอยู่กับฤดูกาลเหมือนเช่นในอดีตอีกต่อไป แต่จะมาจากความเชื่อมั่น ซึ่งเรื่องการเมืองก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อความเชื่อมั่น และคนส่วนใหญ่คาดหวังว่ารัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งน่าจะมีอะไรออกมากระตุ้นเศรษฐกิจให้เศรษฐกิจให้ดีขึ้น
ในส่วนของกำลังซื้อ ยังทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมหรือ GDP อยู่ที่ระดับ 4% _+ ดอกเบี้ยมีโอกาสปรับขึ้นมากกว่าลง รวมไปถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเหล่านี้ล้วนส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ประกอบกับสถาบันการเงินยังอนุมัติวงเงินให้กู้น้อยลงอีกด้วย ส่งผลให้บ้านระดับกลาง-ล่างยังเป็นที่นิยมเช่นเดิม
ด้านซัปพราย บ้านสร้างเสร็จในปัจจุบันน้อยลงผู้ประกอบการหันไปพัฒนาบ้านสั่งสร้างมากขึ้น นอกจากนี้ยังเน้นการขยายเฟสมากกว่าการเปิดโครงการใหม่ โดยในส่วนของธารารมณ์จะเริ่มเปลี่ยนแผนการพัฒนาใหม่โดยจะหันไปเน้นบ้านสั่งสร้างมากขึ้น จากก่อนหน้านี้จะมีสัดส่วนบ้านสร้างเสร็จและบ้านสั่งสร้างอยู่ที่ 70:30 ในปีหน้าจะปรับมาเป็น 30:70
“กฎหมายเอสโครว์แอคเคานท์ที่จะออกมาบังคับใช้จะทำให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการเกิดความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่าคนซื้อแล้วจะได้บ้าน หรือขายบ้านแล้วได้โอนแน่นอน ซึ่งตรงนี้จะทำให้ผู้ประกอบการหันไปทำบ้านสั่งสร้างมากยิ่งขึ้น ทำให้ลดความเสี่ยงในการมีบ้านค้างสะต๊อก อีกทั้งยังทำให้ผู้ประกอบการรายกลางรายย่อยได้รับประโยชน์และอยู่ในเวทีนี้ได้อีกต่อไป เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการเหล่านี้ต้องสร้างบ้านเสร็จก่อนขายทำให้ต้องใช้เงินทุนมาก แต่จะต้องหาช่องว่างของตลาดให้ได้อย่าไปแข่งขันกับรายใหญ่โดยตรง” นายวสันต์กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ คาดว่าทั้งปีจะมียอดขายอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 10% ซึ่งในภาวะเช่นนี้ถือว่ามีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ เพราะหากเทียบกับตัวเลขบ้านใหม่จดทะเบียนในช่วง 9 เดือนแรกปี 49 บ้านเดี่ยวปรับตัวลดลงถึง 18% ซึ่งในส่วนของธารารมณ์
นายวสันต์กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินงานปี 51 บริษัทต้องเป้ายอดขายไว้ที่ 1,500 ล้านบาท หรือโต 15% จากปีนี้และเน้นเปิดเฟสหรือสิ้นค้าใหม่ โดยเน้นพัฒนาบ้านคอนเซ็ปต์ใหม่ออกสู่ตลาดใน 4 โครงการเดิม ซึ่งได้แก่ โครงการพาร์คเวย์ ชาเล่ต์ รามคำแหง, โครงการการ์เด้น สวีท ดิ อินดี้ โฮม รามคำแหงล โครงการเนเบอร์โฮม วัชรพลและโครงการพรอเมนาด โฮม พระราม 2 ซอย 47 ซึ่งปัจจุบันทั้ง 4 โครงการมีสินค้าเหลือขายประมาณ 5,000 ล้านบาท หรือรองรับการขายไปได้อีกกว่า 3 ปี
ในส่วนของกลยุทธ์การตลาด จะคำนึงถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นหลัก เพราะว่าในปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการซื้อ หรือแม้แต่กิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ที่จัดขึ้นจะต้องมีสีสัน แปลกใหม่ เพื่อเป็นแรงกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค
นอกจากนี้ยังได้กำหนดกลยุทธ์การตลาด “3E” ได้แก่ 1. Experience Marketing การสร้างประสบการณืที่ดีให้แก่ผู้บิรโภคในการสัมผัสกับสินค้าและบริการ 2. Expectation Management การบริหารจัดการความคาดหวังของผู้บริโภค และ 3. Excitement Modules การจัดโปรแกรมการส่งเสริมการขาย และการสร้างความสัมพันธ์ต่างๆ ให้มีรูปแบบสีสันน่าตืนตาตื่นใจ
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|