แปซิฟิคสตาร์ฯ ดูดเงินนอก ร่วมทุนอสังหาฯไทยหมื่นล.


ผู้จัดการรายวัน(14 ธันวาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

แปซิฟิคสตาร์ฯเล็งหิ้วเงินกองทุนฯนอก ไล่ลงทุนโครงการอสังหาฯในไทยต่อ เล็งปี2551 ร่วมทุนโครงการอสังหาฯมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งคอนโดฯ อาคารสำนักงาน และโรงแรม-รีสอร์ตต่างจังหวัด ชี้โมเดลไม่แตกกับการร่วมทุนกับเอพี เปรยการลงทุนต้องมีตัวเลขIRR ไม่ต่ำกว่า 10%

นายอุรเสฏฐ นาวานุเคราะห์ ผู้จัดการด้านบริหารสินทรัพย์บริษัทแปซิฟิค สตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีสำนักงานใหญ่ที่ประเทศสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯยังคงให้น้ำหนักการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพอีกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย และแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายของภูมิภาคอื่น จะเพิ่มการลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น คาดว่าในปี 2551 จะมีเงินทุนของต่างประเทศไหลเข้ามาอีก

ในส่วนของบริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายในการนำเงินของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ทางกลุ่มแปซิฟิคสตาร์ได้จัดตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้ เพิ่มลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆในไทย โดยตามแผนการจะลงทุนโครงการอสังหาฯประมาณ 2-3 โครงการ เช่น โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลที่มีศักยภาพ(ไพร์มเอเรียล) โครงการอาคารสำนักงานให้เช่า รวมถึงโครงการตามเมืองท่องเที่ยว เช่น ที่ภูเก็ตและพัทยา จะเป็นรูปแบบโครงการโรงแรมและรีสอร์ต รวมทั้งหมดโครงการจะมีมูลค่าขายกว่า 10,000 ล้านบาท

" รูปแบบของการลงทุนจะคล้ายคลึงการร่วมลงทุนกับบริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ฯ ที่มีการพัฒนาโครงการอยู่ในทำเลที่ศักยภาพสูง โดยต้องเป็นรูปแบบอสังหาฯไม่ใช่อุตสาหกรรม หรือนิคมอุตฯ เพราะเราไม่ถนัดไม่ตรงกับนโยบายของกลุ่ม ส่วนบริษัทที่คาดว่าจะตรงกับแนวทางของบริษัทนั้น คงตอบไม่ได้ชัด แต่หากเป็นความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว เอพี และแสนสิริ มีความเด่น ทางเอพีมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาตึกสูง ขณะที่การตลาดของแสนสิริจะแข็ง "นายอุรเสฏฐ กล่าว

ก่อนหน้านี้ ทางบริษัทแปซิฟิคสตาร์ฯได้มีการลงทุนโครงการอสังหาฯในไทยตั้งแต่ปี 2549 ต่อเนื่องถึงปี 2550 แบ่งเป็น เงินลงทุนจากกองทุนเอเชีย เรียล เอสเตท อินคัม ฟันด์ หรือ( AREIF ) ที่มาลงทุนในโครงการคอนโดฯสาธรการ์เด้นส์ บนถนนสาทร สูง 41 ชั้น ที่เปิดขายห้องชุด 196 ยูนิต มียอดขายไปกว่า 80 ยูนิต และอีก 150 ยูนิตจะกันเป็นส่วนของเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในช่วงนี้ และโครงการอาร์เอสทองหล่อ คอนโดฯเพื่อขาย เฉพาะ 2 โครงการมีมูลค่าขาย 7,000 ล้านบาท มูลค่าลงทุน 5,000 ล้านบาท (ส่วนนี้รวมทุนและหนี้ แต่หากเฉพาะทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท)

ขณะที่การลงทุนร่วมกับโครงการของเอพี จะผ่านทางกองทุนเอเชีย เรียล เอสเตท ไพร์ม ดีเวลลอปเม้นท์ ฟันด์ หรือ (AREPDF ) ที่ใช้เงินทุนส่วนนี้ประมาณ 633 ล้านบาท หรือประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทร่วมทุน 2 แห่งที่ 49% )จากเงินสะสมในกองทุนขณะนี้ประมาณ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าภายในไตรมาสแรกของปี 51 จะสามารถปิดกองทุนได้ที่จำนวนเงินทุนครบ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่ง 2 โครงการที่ร่วมทุนได้แก่ บริษัท เอพี แปซิฟิคสตาร์(สาทร) มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาทและบริษัท เอพี แปซิฟิค สตาร์(รัชดา) มูลค่า 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อรวมทั้ง 4 โครงการ บริษัทจะมีมูลค่าโครงการที่บริหารประมาณ 13,000 ล้านบาท

" การร่วมทุนกับเอพี เพราะเราเห็นช่องทางของการลงทุน เพราะคาดว่าการคืนผลตอบแทนจากการลงทุนจะเร็ว ขณะเดียวกันยังเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้คาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุน(IRR) ต่อโครงการจะมากกว่า 10% ขณะที่เงินทุนจากกองทุนที่สนับสนุนโครงการอสังหาฯในไทยยังมีอยู่อีกจำนวนมาก แค่ 2 กองทุนข้างต้น ก็ใช้เงินลงทุนไปไม่มาก ดังนั้น โครงการใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในปี 51 จะใช้แหล่งเงินมาจาก 2 กองทุนดังกล่าว "

นายอุรเสฏฐ กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาทางบริษัทฯได้มีการคืนเงินให้แก่ผู้ลงทุนไปแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาทจากการเข้ามาลงทุนใน 2 โครงการแรก ซึ่งวิธีการมาจากในช่วงแรกจะใช้เงินทุนจากผู้ลงทุนเพื่อซื้อโครงการ มีการปรับปรุงทรัพย์ให้มีคุณภาพดี และมีการกู้เงินจากสถาบันการเงิน หลังจากนั้นนำส่วนนี้ไปคืนให้แก่ผู้ลงทุน โดยทางบริษัทจะมีสถานะกลายเป็นลูกหนี้สถาบันการเงิน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนยังได้รับประโยชน์จากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน โดยช่วงแรกที่นำเงินเข้ามาอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 38-40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 33.7 บาทต่อดอลลาร์ฯ ผลประโยชน์ประมาณ 10%


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.