บาทแข็งค่าแตะ 33.60/ดอลล์ ธปท.จับตาป่วนหนักพร้อมแทรกแซง


ผู้จัดการรายวัน(12 ธันวาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

แบงก์ชาติแจงบาทดีดตัวแข็งค่าแตะ 33.60 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน เหตุเป็นวันหยุดยาว 3 วัน ทำให้มีแรงอั้น ยันพร้อมเข้าดูแลหากมีความผันผวนมากเกินไป ระบุเงินกันสำรอง 30%ที่ต้องให้คืนนักลงทุนหลังครบรอบ 1 ปี ไม่มาก เพราะส่วนใหญ่เป็นสัญญาที่ทยอยครบกำหนด พร้อมติงคลังอนุมัติแบงก์ต่างชาติออกบาทบอนด์ 5 หมื่นล้านจะกระทบสภาพคล่องในประเทศและทำให้ Yield curve เพิ่มขึ้น

นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วงเช้าวานนี้(11 ธ.ค.) แข็งค่าขึ้นอยู่ที่ระดับ 33.60-33.64 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากผู้ส่งออกมีการเทขายเงินดอลลาร์ออกมามากกว่าปกติ หลังจากในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเป็นวันหยุดยาว ทำให้เมื่อเปิดวันทำการปกติผู้ส่งออกมีแรงเทขายเงินดอลลาร์ออกมามาก ซึ่งเดิมทีในทุกวันผู้ส่งออกก็มีการทยอยขายเงินเงินดอลลาร์อยู่แล้ว

"ในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินบาทของไทย ธปท.มีการเข้าไปดูแลบ้างตามความจำเป็น เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ค่าเงินบาทไทยมีการแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเดียวกับเงินตราสกุลอื่นในประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย”นางผ่องเพ็ญกล่าว

สำหรับในกรณีที่วันที่ 18 ธ.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นวันครบรอบ 1 ปี สำหรับมาตรการกันสำรอง30%ของเงินทุนระยะสั้นจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยนั้น นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า วงเงินที่ถูกกันสำรองสำหรับมาตรการนี้มีไม่มากนัก ประกอบกับสัญญาที่นักลงทุนต่างชาติทำไว้ก็ทยอยครบกำหนด จึงเชื่อว่าแม้นักลงทุนต่างชาติจะถอนทุนออกไปหรือลงทุนต่อในไทยก็เชื่อว่าจะไม่สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทไทย อย่างไรก็ตาม ในมุมมองส่วนตัวเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติยังคงลงทุนในไทยต่อไป เพราะปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจยังดีอยู่ รวมทั้งภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีหน้าก็ยังเดินหน้าได้ดี ซึ่งเป็นผลจากการเลือกตั้ง ทำให้มองภาพเศรษฐกิจไทยมีความชัดเจนมากขึ้น

"เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจะขยายตัวดีขึ้นหรือไม่ รวมทั้งจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยโตได้แค่ไหน ส่วนหนึ่งขึ้นกับรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาว่าจะเข้าใจปัญหา และสร้างความชัดเจนได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะคุ้มกับที่หลายฝ่ายตั้งตารอแค่ไหน”นางผ่องเพ็ญกล่าว

ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง กล่าวว่า สำหรับในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)เมื่อวานนี้ คาดว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างที่หลายฝ่ายประเมินไว้ ส่วนจะมีการปรับลดลง 0.25% หรือ 0.50% ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐที่ชะลอตัวเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณา อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแม้จะมีเงินทุนไหลเข้ามายังไทยบ้าง แต่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ยังมีปัจจัยอื่นนำมาประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย

นักค้าเงินจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า วานนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 33.60-33.61 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากช่วงสุดสัปดาห์ก่อนที่อยู่ในระดับ 33.70 บาทต่อดอลลาร์ โดยเป็นการแข็งค่าสุดตั้งแต่เดือนสิงหาคม ซึ่งส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐของผู้ส่งออกออกมาหลังจากช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ประกอบกับเทรนด์ของเงินดอลลาร์สหรัฐฯยังคงอ่อนค่าอยู่ ทำให้เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าอยู่

"แม้ว่ามีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ย แต่ก้ไม่ได้ทำเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น เนื่องจากการปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าวส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอ ทำให้ไม่มีใครอยากถือเงินดอลลาร์เท่าไหร่ นอกจากนี้ จากที่เฟดจะลดดอกเบี้ยดังกล่าวก็จะทำให้มีเงินไหลออกมาสู่ประเทศต่างๆในเอเชียที่มีผลตอบแทนมากกว่าเพิ่มขึ้นด้วย"นักค้าเงินกล่าว

จวกคลังไฟเขียวบาทบอนด์กระทบสภาพคล่อง

ขณะที่นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท.กล่าวว่า การอนุญาตให้สถาบันการเงินต่างประเทศกว่า 10 แห่งออกพันธบัตรสกุลเงินบาท (บาทบอนด์) วงเงินรวม 5 หมื่นล้านบาท ตามที่ยื่นขอกับทางการไทยมานั้น จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสภาพคล่องในประเทศ ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตร(Yield curve) ในประเทศด้วย

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้กำหนดเพดานการออกบาทบอนด์ในแต่ละปี ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สถาบันการเงินต่างชาติที่ได้ขอวงเงินไว้ แต่มีการออกบอนด์จริงไม่มากนัก โดยในปี 49 ใช้ไปเพียง 10% ของวงเงินที่ได้รับการอนุมัติทั้งหมด เนื่องจากในช่วงนั้นทิศทางอัตราดอกเบี้ยในไทยเป็นช่วงขาขึ้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.