|
ฮาริสันฯ เพิ่มพอร์ตโครงการเมืองท่องเที่ยว เล็งปี51 ขยับ 30%-ลุยบริหารคอนโดฯ มือ2
ผู้จัดการรายวัน(11 ธันวาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ฮาริสันฯเตรียมเพิ่มพอร์ตบริหารโครงการอสังหาฯตามแหล่งท่องเที่ยว ตั้งเป้าปี 51 ขยับเพิ่มอีก 20% รวมเป็น 30% คาดถ้าทำตามเป้า โอกาสยอดขายปีหน้าเติบโตได้อีก 20-30% ระบุลูกค้าต่างประเทศยังเติบโตได้ ยอดขายนำโครงการไปโรดโชว์นอกช่วง 11 เดือนขายได้กว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมขยายตลาดบริหารคอนโดฯมือสองทั้งลูกค้าโครงการที่บริหารอยู่และลูกค้าโครงการอื่น
นายอลัน หลิน ประธานกรรมการบริหารบริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจของบริษัทในปี 2551 ว่า ปัจจุบันโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแหล่งท่องเที่ยว มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ในภาวะที่เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะชะลอตัวลง แต่ตลาดในกลุ่มนี้ยังได้รับความสนใจจากลูกค้าคนไทยและต่างประเทศ โดยทางบริษัทจะพยายามเข้าไปเพิ่มการบริหารการขายให้แก่กลุ่มลูกค้าโครงการในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น ทั้งในจังหวัดภูเก็ต สมุย หัวหิน พัทยา และเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายที่จะเพิ่มโครงสร้าง(พอร์ต)ลูกค้าโครงการอสังหาฯตามเมืองท่องเที่ยวจากปัจจุบันที่มีประมาณ 10% เพิ่มอีก 20 % และหากสามารถทำเป้าลูกค้าโครงการตามเมืองท่องเที่ยวได้ คาดว่าภาพรวมของยอดขายปี 2551 จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 20-30% จากที่คาดว่ายอดขายรวมในปี 2550 จะทำได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่มียอดขายประมาณ 7,000 ล้านบาท
" ยอดขายโครงการปีนี้ ใช่ว่าไม่ดี เทียบกับปี 49 ถือว่าเติบโตขึ้นมาได้ดี แต่หากพิจารณาเป็นภาพรวมแล้ว เรายอมรับว่าตลาดค่อนข้างชะลอตัวลงบ้าง ยกเว้นตลาดคอนโดมิเนียมที่ยังเติบโตได้ อย่างเช่น โครงการบางกอก คานส์ ของกลุ่มนักลงทุนจากฮ่องกงที่เปิดโครงการคอนโดมิเนียมเฟสแรก 4 ตึก 15 ไร่ จำนวน 2,700 ยูนิต บริเวณเส้นจรัญสนิทวงศ์ โดยเปิดขายตึกแรกประมาณ 500 ยูนิต ลูกค้าให้การตอบรับอย่างล้นหลาม และกลุ่มนี้ ถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่บริษัทฮาริสัน เข้าไปบริหารการขายให้ โดยปัจจุบันบริษัทฯมีจำนวนโครงการที่บริหารอยู่ประมาณ 20 โครงการ รวมมูลค่าโครงการที่บริหาร 15,000-20,000 ล้านบาท ซึ่งในแต่ละปีแล้ว บริษัทจะสามารถรับโครงการมาบริหารได้ประมาณ 20 โครงการและสูงสุดไม่เกิน 30 โครงการ เพราะต้องพิจารณาศักยภาพของโครงการและจำนวนบุคลากร เราต้องการมุ่งคุณภาพที่เหมาะสมกับโครงการที่ต้องทำ " นายอลันกล่าว
นายอลัน กล่าวถึงในส่วนของการนำโครงการไปโรดโชว์ยังตลาดต่างประเทศว่า ยังเป็นตลาดที่ดี แม้ขณะนี้ค่าเงินบาทของไทยจะแข็งค่า แต่ลูกค้าก็ยังให้ความสนใจ จะเห็นได้ว่าในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ทางบริษัทได้นำโครงการอสังหาฯของไทยและโครงการต่างประเทศที่อยู่ในไทยไปโรดโชว์ ก็สามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท จากที่ได้ไปโรดโชว์มาหลายครั้ง เช่น ที่ประเทศฮ่องกงประมาณ 7-8 ครั้ง เซี่ยงไฮ้ 2 ครั้ง และที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 1 ครั้ง
ประธานกรรมการบริหารกล่าวถึงธุรกิจการบริหารคอนโดมิเนียมมือสองนั้น เป็นธุรกิจที่ทางบริษัทเริ่มเข้าสู่ตลาดในส่วนนี้ ซึ่งในปีหน้า จะเพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น เนื่องจากสินค้าคอนโดมิเนียมมือสองยังมีช่องทางที่จะเติบโตได้อีก และยังเป็นการช่วยส่งเสริมให้เกิดการซื้อขายของคอนโดมิเนียมใหม่เพิ่มขึ้น เพียงแต่จะพัฒนาคอนโดฯมือสองอย่างไรให้เกิดสภาพคล่องสูงสุด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ทางบริษัทมีห้องชุดมือสองที่มาฝากขายกับบริษัทประมาณ 7,000-8,000 ยูนิต ราคาประมาณ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป และเป็นส่วนของห้องชุดที่บริษัทบริหารห้องชุดให้แก่ลูกค้าโครงการไม่เกิน 3,000 หน่วย ที่เหลือจะมาจากลูกค้าภายนอกที่มาฝากขายกับทางบริษัท ทั้งนี้คาดว่า ในปีหน้า จำนวนห้องชุดมือสองที่มาฝากขายกับบริษัทน่าจะเกิน 10,000 ยูนิต ซึ่งในส่วนของค่าคอมมิชชันจะขึ้นอยู่กับขนาดและการตกลงกับลูกค้า
"จริงๆแล้ว เจ้าของห้องชุดมือสองนั้น ควรคิดว่า หากต้องการเสนอขายในราคาสูงหรือใกล้เคียงกับห้องชุดใหม่นั้น คงเป็นเรื่องที่ลำบาก เพียงแต่อาจจะต้องยอมลดราคาลงมาบ้าง เพราะอย่างน้อยก็ยังมีกำไรจากการขายอยู่ดี "
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|