|
บ้านมือสองปีนี้วูบโตติดลบ15%ลูกค้าเร่งซื้อก่อนหมดมาตรการ
ผู้จัดการรายวัน(6 ธันวาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
เรียลตี้เวิล์ดฯ ยอมรับบ้านมือสอง 11 เดือนอัตราการเติบโตติดลบ 10-15% เหตุแบงก์เข้มปล่อยกู้- การเมือง-เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลลูกค้าชะลอตัดสินใจซื้อ แถมดอกเบี้ยเงินกู้ลดคนหันไปซื้อบ้านมือหนึ่งแทน หวังธ.ค. นี้ตลาดคึกคัก ผู้บริโภคเร่งซื้อ-โอนก่อนสิ้นสุดมาตรการส่งเสริมบ้านมือสองในสิ้นปีนี้ เชื่อยอดขายตลาดรวมไม่เกิน 60,000-70,000 หน่วย คาดปีหน้าตลาดรวมทรง พร้อมรับยอดขายเรียลตี้เวิล์ดฯ ต่ำกว่าเป้าค่อนข้างมาก
นายวิศิษฐ์ คุณาทรกุล ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เรียลตี้ เวิล์ด อัลไลแอนซ์ จำกัด กล่าวถึงตลาดบ้านมือสอง ว่า ในปีนี้ตลาดมีอัตราการเติบโตที่ติดลบจากปีที่ผ่านมา 10-15% เนื่องจากภาวะการชะลอการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะการเมือง การขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อบ้านใหม่มากกว่าบ้านมือสอง
ทั้งนี้ ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาตลาดบ้านมือสองยังคงมีอัตราการขยายตัวต่ำกว่าประมาณการในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ตลาดบ้านมือสองจะคึกคักมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคที่ชะลอดูสถานการณ์ตลาด และแนวโน้มการเมือง เศรษฐกิจ ในช่วงก่อนหน้านี้ จะเร่งตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเร็วขึ้นเพราะในสิ้นปีนี้ มาตรการส่งเสริมตลาดบ้านมือสองที่รัฐบาลให้การสนับสนุนอยู่ขณะนี้จะสิ้นสุดลง
"เชื่อว่าด้วยเหตุผลที่มาตรการส่งเสริมตลาดบ้านมือสอง อาทิ การลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% ค่าจดจำนองจาก 1% ที่ลดเหลือ 0.01% ที่จะสิ้นสุดลงในช่วงสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ จะส่งผลให้ลูกค้าเร่งซื้อบ้านและเร่งโอนก่อนสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ และจะทำให้ยอดการซื้อขายบ้านมือสองในช่วงเดือนสุดท้ายนี้มียอดสูงขึ้นกว่าในทุกๆ เดือนที่ผ่านมา"
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการเร่งตัดสินใจซื้อและโอนบ้านในตลาดมบ้านมือสองก่อนสิ้นปี นี้แต่ก็ไม่ได้ทำให้อัตราการเติบโตของตลาดเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากในช่วงนี้สถาบันการเงินมีการเข้มงวดในการพิจารณาปล่อยกู้ลูกค้ามากกว่าช่วงที่ผ่านๆมา โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ ตลาดบ้านมือสองจะยังติดลบจากปีที่แล้วไม่ต่ำกว่า 10-15% หรือมียอดขายในตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 60,000 -70,000 หน่วย
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มตลาดบ้านมือสองในปี 51 นั้น คาดว่าจะทรงตัวเท่ากับในปี 50 นี้ เนื่องจาก อัตราดอกเบี้ยนั้นยังอยู่ในระดับต่ำ และแม้ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็คาดว่าไม่น่าจะมีการปรับขึ้นเกิน 0.5% ในปีหน้า ซึ่งการที่อัตราดอกเบี้ยยังต่ำนี้เอง ส่งผลให้ลูกค้าเลือกซื้อบ้านใหม่มากกว่าบ้านมือสองเพราะกำลังและความสามารถในการผ่อนค่างวดมีเพิ่มขึ้น
ส่วนแนวโน้มการปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้างในตลาด ที่มองว่าน่าจะส่งผลกระทบต่อราคาบ้านใหม่ให้ปรับสูงขึ้น จะส่งผลดีต่อบ้านมือสองนั้น เชื่อว่าในปีหน้าผู้ประกอบการทุกรายจะยังยืนราคาขายบ้านใหม่ในราคาเดิม โดยยอมลดกำไรลงเพื่อให้สามารถรักษายอดขายไว้ได้
ส่วนสาเหตุที่ผู้ประกอบการบ้านใหม่ไม่สามารถปรับราคาขายตามต้นทุนใหม่ได้นั้น เพราะในช่วงก่อนหน้านั้นผู้ประกอบการมีการปรับขึ้นราคาขายไปกอ่นหน้าแล้ว ทำให้ในปีหน้าผู้ประกอบการจะไม่สามารถปรับราคาขายเพิ่มได้อีกหรือเพิ่มได้น้อย แต่จะไปลดต้นทุนส่วนอื่นเพื่อรักษากำไรเอาไว้ แทนการปรับราคาขาย
"บ้านมือสองมีเครื่องมือในการทำตลาดที่ด้อยศักยภาพมากว่าบ้านใหม่ เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการมีกำไร หรือค่าคอมมิชชั่น จากการขายบ้านเพียง 3-4% ในขณะที่ผู้ประกอบการบ้านเดี่ยวมีกำไรจากการขายบ้านใหม่ 20-40% ทำให้สามารถทำโปรโมชันหรือให้ส่วนลดได้มากกว่าด้วย ดังนั้นข้อได้เปรียบของผู้ประกอบการบ้านจัดสรร จึงยังสูงกว่าบ้านมือสอง ทางเดียวที่ตลาดบ้านมือสองจะขยายตัวได้มากก็คือ กรณีที่ดอกเบี้ยปรับขึ้นมากๆ"
สำหรับปี 50 นี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม 2,000 ล้านบาท แต่ขณะนี้ยอดขายของบริษัทยังตกเป้าอยู่ค่อนข้ามมาก เนื่องจากผลกระทบดังกล่าวข้างต้น ส่วนในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าจะมียอดขายเติบโตเท่าๆ กับปี 50 นี้ คือประมาณ 2,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามจะต้องรอดูสถานการณ์ด้านการเมืองด้วยว่าจะมีทิศทางอย่างไร เพื่อจะได้ประมาณการยอดขายและตั้งเป้ายอดขายให้เหมาะสมกับสภาพตลาดอีกครั้งหนึ่ง
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|