สุเทพ กิตติกุล ซิงห์ กรรมการผู้จัดการของอัลฟากรุ๊ป (Alpha Group) กำลังปวดหัวอย่างหนักกับกิจการสิ่งทอของเขา
ซึ่งหยุดชำระหนี้ถึงกว่า 3,000 ล้านบาท (80 ล้านดอลลาร์) ในช่วงวิกฤติการเงินเอเชียพุ่งขึ้นสูงสุด
แต่ เขายังคงมีเงินทุนดำเนินการภายในที่ทำให้สามารถบริหารกิจการต่อไปได้ และตอนนี้บริษัทก็กำลังต้องการเงินทุนก้อนใหม่
เพื่อนำไปปรับปรุงคุณภาพ เครื่องจักร เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้
ปัญหาของสุเทพอยู่ ที่ข้อตกลงการปรับโครงสร้างหนี้กับบรรดาเจ้าหนี้ ซึ่งเข้มงวดในเรื่องการใช้จ่ายของบริษัทโดยจำกัดวงอยู่
ที่ 2% ของสินทรัพย์ คง ที่ในแต่ละปี สุเทพต้องการให้ตัวเลขขยับขึ้นเป็น
10% เพื่อให้กิจการสามารถคงอยู่ในตลาดได้ "เรารู้ว่ามีความต้อง การสินค้าอยู่
แต่เราขาดเงินลงทุน จึงสนองความต้องการตลาดไม่ได้" สุเทพบอก "ตอนนี้เรามีเงินเหลือแค่
พอชำระหนี้เท่านั้น ไม่เพียงพอ ที่จะปรับปรุงกิจการให้ทันสมัย"
อัลฟามีกิจการตั้งอยู่ ที่สมุทรปราการ มีพนักงาน ราว 2,700 คน ผลิต เสื้อผ้าป้อนให้กับผู้ค้าปลีกในตลาดบนอย่างมาร์คส์
แอนด์ สเปนเซอร์ (Marks and Spen-cer) แห่งอังกฤษ และเจ. ครูว์ (J. Crew)
แห่งสหรัฐฯ สุเทพบอกว่าหากต้องการให้แข่งขันในตลาดได้ อัลฟาต้องปรับปรุงเครื่องจักรทุกปี
แต่หลังจากวิกฤติการณ์การเงินเป็นต้นมา อัลฟาก็ไม่เคยปรับปรุง เครื่องจักร
และต้องสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับบริษัทต่างประเทศ ที่ยังคงลงทุนใน เรื่องคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
สุเทพคิดว่าสถานการณ์กิจการกำลังลุกลาม และน่าเป็นห่วง "ในเมืองไทย มันไม่ได้เป็นแค่ปัญหาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ไม่กี่รายเท่านั้น
แต่กำลังเป็น ปัญหาเศรษฐกิจมหภาคอย่างรวดเร็ว" สุเทพบอกหากการปรับโครงสร้างหนี้
ทำให้มีเงื่อนไข ที่หนักหนาขนาดนี้ "อีกหน่อยเศรษฐกิจของเราคงเหลือแต่ผีดิบ
ซอมบี้เต็มไปหมด"
รากฐานของปัญหาอยู่ ที่ธนาคาร และบริษัทต่างก็กำลังระดมเงินทุน ซึ่งมี จำกัดในเวลา
ที่เศรษฐกิจเดินหน้าไปสู่ภาวะพลิกฟื้น บริษัทไทยหลายแห่ง ต้องการเงินทุนก้อนใหม่
เพื่อผลักดันกิจการให้พ้นจากปัญหา ส่วนธนาคารก็ ต้องคงสัดส่วนเงินทุนให้ได้ตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่ง กำหนดว่าธนาคารพาณิชย์ต้องจัดทำข้อกำหนดเกี่ยวกับเงินกู้ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ ดังนั้น ในการเจรจาประนอมหนี้ ธนาคารจึงพยายาม ที่จะเข้าไปถือหุ้นในกิจการของลูกหนี้ในส่วน
ที่จะแปรเป็นเงินสดหมุนเวียนในอนาคตได้
"บริษัท ที่ฉลาดๆ เป็นจำนวนมากต้องการเงินทุนจำนวนหนึ่ง เพื่อปรับปรุงกิจการตลอดเวลา"
อัมมาร สยามวาลา นักเศรษฐศาสตร์แห่งสถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าว
และเสริมว่า "มีบ่อยครั้ง ที่ดูเหมือนว่าค่าใช้จ่าย ด้านทุนถูกรีดเค้นจากข้อสัญญาการปรับโครงสร้างหนี้
ที่เข้มงวด" อัมมารคาดว่าธนาคารพาณิชย์อนุญาตให้บริษัทต่างๆ มีเงิ นทุนเพียงพอเพียงแค่การชำระหนี้เท่านั้น
ซึ่ง "จะเป็นการทำให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจมีความผันผวนตามการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย"
แม้ว่าด้านของธนาคารพาณิชย์จะมองประเด็นต่างไป แต่ทั้งสองฝ่ายต่าง ก็รู้ว่าต่
างต้องการกัน และกัน "ความสำเร็จของการปรับโครงสร้างระยะยาวจะขึ้นอยู่กับการฟื้นฟูอย่างเข้มแข็ง"
กฤษดา ล่ำซำ รองประธานอาวุโสธนาคารกสิกรไทยกล่าว เขาเสริมด้วยว่าธนาคารต่างๆ
ควรจะวางข้อกำหนดในการปรับโครงสร้างหนี้โดยอิงกับ "ความสามารถ ที่แท้จริงของลูกค้าในการชำระหนี้"
แอนดรูว์ สโทตซ์ (Andrew Stotz) นัก วิเคราะห์ด้านธนาคารแห่งเอสจี ซีเคียวริตีส์
(SG Securities) ในกรุงเทพฯ คาดหมายว่าในปีนี้ธนาคารพาณิชย์ของไทยต้องการเงินทุนราว
92,000-1,000,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการจัดการภาระหนี้เสีย และแม้ว่าจะเป็นตัวเลข
ที่ลดลงมาจากราว 300,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว แต่ก็ยังหนักหนาเอาการสำหรับบรรดาบริษัทลูกหนี้
"สิ่งสุดท้าย ที่ธนาคารต้องการทำก็คือ การให้เงินกับบริษัทลูกหนี้เพิ่ม"
สโทตซ์ กล่าว "ทุกๆ อย่างถูกตัด รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านทุน แล้วสมควรทำอย่างนี้หรือเปล่า"
ผลที่ตามมาก็ย่ำแย่เช่นกัน เพรา ะราว 15%-20% ของเงินกู้ เพื่อการปรับโครงสร้างในไทยก็ส่งผลทางลบเช่นกัน
จากรายงานของเมอร์ริล ลินช์ ที่วิเคราะห์ปริมาณเงินสดหมุนเวียนระบุว่า 60%
ของบริษัทธุรกิจไทย ที่ประสบปัญหาเงินกู้ ที่ไม่ก่อรายได้ มีโอกาสจัดการสะสางปัญหาดังกล่าวได้
แต่จะต้อง ใช้เงินกู้อีกถึงราว 1 ล้านล้านบาท เพื่อค้ำไม่ให้กิจการล้ม ซึ่งตัวเลขดังกล่าว
นับว่ามหาศาลทีเดียว
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทธุรกิจไทยจำนวนมากใช้เงินทุนไป อย่างไม่ระมัดระวังในช่วง
ที่เศรษฐกิจบูม และนี่เอง ที่ทำให้ธนาคาร และสถาบันการเงินต้องคิดหนักในการปล่อยกู้ให้กับภาคธุรกิจ
ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยก็ยังผจญกับกำลังการผลิต ที่เกินความต้องการในอุตสาหกรรมหลายแขนง
อาทิ รถยนต์ และปูนซีเมนต์ ในขณะที่ทุกๆ อุตสาหกรรมต่างก็ต้องการเงินทุนกันอย่างเร่งด่วน
และการที่บรรดาธนาคารพาณิชย์มุ่งสนใจอยู่แต่ธุรกิจ ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างโทรคมนาคม
และผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ที่มีอนาคตสดใส ก็ทำให้ธนาคารต้องเสี่ยงกับภาวะบีบรัดของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยด้วย
"การปรับโครงสร้างหนี้เหมือนการชกจมูกกิจการธุรกิจขนาดใหญ่หลายต่อหลายแห่งอย่างจัง"
บุญชัย เบญจรงคกุล กรรมการผู้จัดการของโทเทิ่ล แอ็คเซส คอมมิว นิเคชัน หรือแทค
ให้ความเห็นแทคต้องเผชิญกับภาวะบีบรัดทำนองเดียวกับกิจการสิ่งทออัลฟา กล่าวคือ
การปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 338 ล้านดอลลาร์ ได้จำกัดการใช้จ่ายด้านทุนไว้เพียง
1 พันล้านบาทต่อ ปี เป็นเพดาน ที่แทคกำลังขอผ่อนปรนกับบรรดาเจ้าหนี้อยู่
นักวิเคราะห์รายหนึ่งแห่งเมอร์ริล ลินช กรุงเทพฯ กล่าวว่าแทคเผชิญกับการบีบรัดขีดความสามารถ
และกำลังต้องการที่จะปรับปรุง บริการแก่ลูก ค้าจากระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอล
ในปัจจุบันลูกค้าราว 60% ยังใช้ บริการในระบบอนาล็อก ซึ่งไม่สอดคล้องกับบริการส่งข้อมูล
แต่เจ้าหนี้ของแทคก็ปฏิเสธข้อ เรียกร้องของ แทค ที่ขออนุมัติใช้เงิน 4 พันล้านบาทในการขยายเครือข่าย
ระบบดิจิตอล แทคยังมีหนี้สินในรูปของตั๋วสัญญาใช้เงิน และพันธบัตรเป็นจำนวน
700 ล้านดอลลาร์ อีกทั้งต้องนำเงินราว 70 ล้านดอลลาร์จากการขายหุ้นใน เดือนมิถุนายนปีที่แล้วไปชำระหนี้ให้กับธนาคารด้วย
และจะต้องชำระหนี้เพิ่มเติมให้กับธนาคารอีกจำนวน 80 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ หลังจาก
ที่การขายหุ้นเสร็จ สิ้นลง
ในขณะที่แทควุ่นวายอยู่กับการสะสางภาระหนี้สิน คู่แข่งรายสำคัญของบริษัทคือ
แอดวานซ์ อินฟอร์เมชัน เซอร์วิส (เอไอเอส) ก็กำลังลงทุน 10,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเครือข่ายระบบดิจิตอล
โดยเล็งว่าธุรกิจจะก้าวไปสู่ยุคการส่งข้อมูลแบบไร้สาย ช่วงหลายส ัปดาห์ ที่ผ่านมา
เอไอเอสยังได้ดำเนิน การซื้อกิจการด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับสามของประเทศไทย
โดยชิน คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ก็ดูเหมือนจะเข้าซื้อกิจการผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตรายใหญ่รายหนึ่งในไทยด้วย
ผลกระทบของการลดการใช้จ่ายด้านทุน ที่มีต่อบริษัทธุรกิจไทย และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังเห็นได้ไม่ชัดเจนในขณะนี้
แต่บริษัท ที่แบกภาระหนี้สิน เป็นจำนวนมากอาจต้องเลือกปิดกิจการหรือควบกิจการรวมกับคู่แข่ง
ที่เข้มแข็งกว่า เพื่อพากิจการให้รอด ความเสี่ยงของทางเลือกอย่างหลังก็คือ
บริษัท ที่แข็งแกร่งอย่างอัลฟา และแทคอาจจะมีอาการง่อยเปลี้ยกับการปลดภาระหนี้
สิน ซึ่งอาจจะทำให้โอกาสเติบโตระยะกลางของไทยอ่อนลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลกำหนด
ที่จะตัดทอนมาตรการกระตุ้นทางการเงินในปีหน้า
(Far Eastern Economic Review/February 17, 2000)