การจับนายสอง วัชรศรีโรจน์หรือ "เสี่ยสอง" ในข้อหานักปั่นหุ้นเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน
2535 สะท้อนให้เห็นความไร้ประสิทธิภาพในกลไกการควบคุมการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ
สองเป็นเพียงเหยื่อของวงจรอุบาทว์ตลาดหุ้นไทยซึ่งไม่ได้เก็บรับบทเรียนอะไรจากกรณีอื้อฉาวราชาเงินทุน
(2522) และบล.ชาวไทย (2533) นับจากนี้ไม่หากไม่มีความเข้มงวดในการดำเนินตามกฎหมายแล้ว
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไทยยากที่จะพ้นจากวงจรอุบาทว์ของการปั่นหุ้น และจะมีเจ๊สาม
เสี่ยสี่ เกิดตามมาอีกเป็นจำนวนมาก !!
การเติบโตของตลาดหลักทรัพย์ไทยในระยะที่ผ่านมาเป็นผลสะท้อนของการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย
ดร.ธรรมนูญ อานันโทไทย นักวิชาการด้านหลักทรัพย์เปิดเผยว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ระหว่าง
7.5%-7.9% ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา อัตราเงินสำรองต่างประเทศก็อยู่ในระดับที่สูงมากคือมีสำรองถึง
6 เดือน
ในแง่ของการส่งออกสามารถทำได้เกินเป้าหมาย 17% คิดเป็นรายได้การส่งออกประมาณ
860,000 ล้านบาท และคาดหมายว่าในปี 2536 ตัวเลขนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น
1.1 ล้านล้านบาท
ปัจจัยที่มีส่วนทำให้อัตราการส่งออกเพิ่มสูงมากขนาดนี้ คือการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
มีบริษัทกว่า 100 รายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีรายได้ทางตรงและอ้อมมาจากการส่งออก
ข่าวลือ การโกง การปั่นหุ้นและการเลือกปฏิบัติ
ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นไทย บอมเบย์ ไต้หวันและโตเกียว ต่างตกอยู่ภายใต้วงจรอุบาทว์นี้ทั้งสิ้น
ที่ตลาดหุ้นบอมเบย์นั้นมีคดีอื้อฉาวทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นโดยโบรกเกอร์ค้าหุ้นชื่อดัง
"อาร์ชาด เมห์ทา" ร่วมกับนายธนาคารหลายคนออกอุบายยักย้ายเงินจากหลักทรัพย์รัฐบาลในตลาดเงินระหว่างธนาคารอย่างผิดกฎหมายและอัดฉีดเงินจำนวนนี้เข้าสู่ตลาดหุ้น
รายการโกงครั้งใหญ่สุดมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์นี้ถูกเปิดเผยโดยธนาคารกลางอินเดียซึ่งเข้าไปตรวจสอบธนาคารของรัฐแห่งหนึ่งและพบว่ามีเงินสูญหายไปเป็นจำนวนมาก
โดยผู้ที่ถูกกู้ไปก็คือเมห์ทาซึ่งเอาไปซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์บอมเบย์
จากนั้นได้มีการตรวจสอบมากขึ้นและพบวิธีฉ้อฉลอย่างแยบบยลโดยมีธนาคารต่างประเทศให้ความร่วมมือหลายอย่าง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2534 แต่ในปัจจุบันตลาดหุ้นบอมเบย์ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นได้
ส่วนที่ไต้หวันนั้นเป็นที่รู้กันดีทั่วไปว่าเป็นตลาดที่มีการเก็งกำไรสูงมาก
มีการปั่นหุ้นกันทั่วทั้งตลาดจนราคาหุ้นสูงวกว่าความเป็นจริงมากกว่า 30 เท่า
ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไต้หวันตกต่ำลงหลายร้อยจุด ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ
20 ปี สาเหตุสำคัญมาจาการที่นักลงทุนรายใหญ่ไม่กี่คนไม่ได้จ่ายเงินค่าซื้อหุ้นจำนวนกว่า
7,000 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
นักลงทุนรายใหญ่ในไต้หวันสามารถใช้กลไกทางการเงินที่ผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีการใช้บัญชีของนักลงทุนรายอื่นเข้าซื้อขายหุ้น โบรกเกอร์ปล่อยสินเชื่อซื้อขายหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดมีปัญหาเรื่องไม่สามารถจัดระบบการส่งมอบและชำระราคาหุ้นได้
ความไร้กฎเกณฑ์ของการลงทุนในตลาดหุ้นไต้หวันประกอบกับความไม่มีประสิทธิภาพของตัวตลาดหุ้นเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตขึ้น
และมีรายงานข่าวด้วยว่ามหาเศรษฐีอุงต้าหมิง เจ้าของกิจการประกันภัยและสิ่งทอยักษ์ใหญ่ในนามฮัวลัน
กรุ๊ปเป็นตัวการใหญ่ที่ทำให้เกิดวิกฤติตลาดหุ้นครั้งนี้
ในกรณีของญี่ปุ่นนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นปัญหาในเรื่องของธรรมเนียมปฏิบัติที่ผิดแผกแตกต่างไปจากตลาดหุ้นอื่นๆ
ในทั่วโลกเกิดเรื่องอื้อฉาวทางการเงินมากมายต่อเนื่องจนกลายเป็นวิกฤตครั้งสำคัญซึ่งกินเวลายาวนานมาก
เคนอิจิ โอมาเอะนักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์การจัดการธุรกิจระหว่างประเทศชื่อดังชาวญี่ปุ่นได้เปิดเผยถึงลักษณะการปฏิบัติในวงการค้าหลักทรัพย์ของญี่ปุ่น
ซึ่งหากวิธีการเช่นนี้เกิดขึ้นในตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก คงต้องถูกมองว่าเป็นการใช้ข้อมูลวงใน
เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ (INSIDER TRADING) และเป็นการปั่นหุ้น (MARKET MANIPULATION)
เป็นแน่
โอมาเอะอธิบายลักษณะการใช้ข้อมูลวงในเพื่อซื้อขายหุ้นและการปั่นหุ้นในญี่ปุ่นว่าเกิดจากการเอื้ออำนวยของทางการคือกระทรวงการคลังญี่ปุ่นนั่นเอง
เขาเห็นว่ากระทรวงการคลังญี่ปุ่นเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวงการเงินญี่ปุ่นซึ่งรวมทั้งในตลาดหุ้นโตเกียวด้วย
บรรดาข้าราชการกระทรวงการคลังซึ่งเกษียณเมื่ออายุ 55 ปีจะได้รับการว่าจ้างให้เข้าไปทำงานกับบริษัทการเงิน
อดีตนักเศรษฐศาสตร์ในภาครัฐบาลมักจะเข้าร่วมงานในแผนกวิจัยของบริษัทโบรกเกอร์รายใหญ่ๆ
เสมอเมื่อเขาเหล่านั้นเกษียณอายุแล้ว จุดนี้ที่โอมาเอะมองว่าทำให้เกิดอินไซเดอร์ขึ้นในตลาดหุ้น
นั่นเป็นรูปแบบของคอร์รัปชั่นที่โอมาเอะอธิบายว่าเป็นที่รู้จักกันดี ยังมีรูปแบบที่ครึกโครมโจ่งแจ้งมากกว่านี้ซึ่งกระทำโดยหน่วยงานราชการเอง
โอมาเอะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นนั้น ได้รับประโยชน์โดยตรงเป็นจำนวนมากจากวิธีทำธุรกิจที่ผิดแผกแตกต่างกันในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวของบรรดาบริษัทหลักทรัพย์และแบงก์ทั้งหลาย
เขายกตัวอย่างหุ้นนิปปอนเทเลโฟน แอนด์ เทเลกราฟ หรือเอ็นทีที ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินการแปรรูปและนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว-เป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
ปัจจุบันหุ้นเอ็นทีทีมีการซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ของราคา ซึ่งกระทรวงการคลังตั้งไว้ตอนแปรรูปเอ็นทีที
ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้ชักชวนนักลงทุนให้ซื้อหุ้นเอ็นทีทีโดยผ่านช่องทางของโบรกเกอร์ซึ่งเป็นผู้ชี้นำทิศทางตลาดในเวลานั้น
ราคาที่ซื้อขายกันโดยกระทรวงการคลังกำหนดในเวลานั้นถูกมองว่าเป็นราคาที่สูงมากเกินไป
ปรากฏว่าเอ็นทีทีได้ส่วนต่างของมูลค่าหุ้นไปเป็นจำนวนสูงมาก บริษัทหลักทรัพย์ก็ได้กำไรก้อนโตกันถ้วนหน้า
ความเสียหายตกอยู่กับนักลงทุนที่ด้อยข้อมูลข่าวสาร มูลค่าการลงทุนของพวกเขาสูญหายไป
2 ใน 3 คิดเป็นเงินประมาณ 80 พันล้านดอลลาร์!!
โอมาเอะเปิดเผยว่ากระทรวงการคลังขอให้บริษัทโบรกเกอร์ช่วยกันรักษาระดับราคาหุ้นเอ็นทีทีไว้ในช่วงแรกที่เอาเข้าตลาด
และบริษัทโบรกเกอร์ก็ให้ความร่วมมือ เพราะบริษัทโบรกเกอร์ก็ให้ความร่วมมือ
เพราะบริษัทเหล่านี้ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากกระทรวงการคลังในหลายๆ ด้าน
ตัวอย่างเรื่องเอ็นทีทีชี้ชัดว่าการจัดการในตลาดทุนและระบบการเงินของญี่ปุ่นมีลักษณะที่รัฐให้ความคุ้มครองแก่นักธุรกิจเอกชนอย่างมากๆ
โอมาเอะมองว่าในสมัยที่อุตสาหกรรมไฟแนนซ์ของญี่ปุ่นยังต้วมเตี้ยมอ่อนหัดอยู่นั้น
จำเป็นที่จะต้องได้รับการคุ้มครองปกป้องจากรัฐหรือกระทรวงการคลังแต่ตอนนี้อุตสาหกรรมนี้เติบโตบรรลุวุฒิภาวะนานแล้วไม่ควรจะมีการคุ้มครองจากรัฐอีก
เขาเรียกร้องให้มีการปรับปรุงพัฒนากระทรวงการคลังให้ทันสมัยด้วยการแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบของกระทรวงการคลังออกให้กับหน่วยงานต่างๆ
และเพื่อลดปัญหาเรื่อง CONFLICT OF INTEREST ก็ควรจะมีการมอบอำนาจให้กับหน่วยงานเหล่านั้นในการควบคุมตรวจสอบ
ไม่จำเป็นต้องให้ความคุ้มครองแก่บริษัทไฟแนนซ์อีกต่อไป แต่ควรจะปกป้องนักลงทุน
ลูกค้าผู้ฝากเงินกับบริษัทเงินทุนและบรรดาผู้ใช้บริการทางการเงินต่างๆ
ทัศนะของโอมาเอะเพียงแต่สะท้อนภาพส่วนหนึ่งของวิธีการปฏิบัติในธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ญี่ปุ่น
ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติอีกมากมายที่อยู่ในกรอบซึ่งโอมาเอะอธิบายไว้และสะสมรวมกันจนนำไปสู่วิกฤติ
เช่น การเลือกจ่ายค่าชดเชยจากการขาดทุนเนื่องมาจากมูลค่าหลักทรัพย์ลดลง เป็นต้น
ว่าไปแล้ากรณีที่เกิดขึ้นในธุรกิจหลักทรัพย์ญี่ปุ่นก็คือการโกงกันซึ่งๆ
หน้า โบรกเกอร์ฉ้อโกงเงินชดเชยที่ควรจะให้นักลงทุนรายย่อย แล้วจ่ายให้เฉพาะนักลงทุนรายใหญ่
แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในส่วนที่เป็นธุรกิจหลักทรัพย์นั้นมีการพัฒนาเฉพาะตัวฮาร์ดแวร์เท่านั้น
วิธีปฏิบัติยังด้อยพัฒนาอยู่มากโดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่าไม่มีลักษณะของการแข่งขันอย่างเสรีแม้แต่น้อย
สำหรับกรณีนายสอง วัชรศรีโรจน์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นเพียง "เหยื่อ"
รายหนึ่งที่ถูกจับเป็นประเดิมของการใช้กฎหมาย ก.ล.ต. ฉบับใหม่ ซึ่งประกาศใช้เมื่อเดือนพฤษภาคม
2535 นั้นได้มีการกล่าวถึงมากมายหลายแง่มุม
"ผู้จัดการรายเดือน" ขอนำเสนอประเด็นที่ต่างออกไป!
เหตุการณ์จับเสี่ยสองเป็นเชื้อปะทุอย่างหนึ่งที่ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ
และก.ล.ต.กันเป็นอย่างมาก
จุดอ่อนในเรื่องนี้ได้มีการพูดกันมาก่อนหน้าแล้วโดยเฉพาะในกรณีของตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งถูกเพ่งเล็งด้วยสายตาของความเคลือบแคลงระแวงสงสัยจากนักลงทุนตลอดเวลา
ว่ากันว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นประจำวันมีเพียง 9 คนเท่านั้น
พวกเขาทำหน้าที่ดูตัวเลขรายการซื้อขายที่ปรากฏทางหน้าจอคอมพิวเตอร์หลายแสนรายการ
คนกลุ่มนี้จะเป็นผู้ที่รู้ความเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติของการซื้อขายหลักทรัพย์ประจำวันเป็นกลุ่มแรก
เพราะเขามีหน้าที่รายงานความผิดปกตินี้ให้ผู้ใหญ่ในคณะบริหารของตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทราบเพื่อพิจารณาตรวจสอบต่อไป
มีผู้ตั้งข้อสงสัยกับระบบการปฏิบัติงานในส่วนนี้ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งแหล่งข่าวระดับสูงในวงการโบรกเกอร์ให้ความเห็นว่า
"เรื่องนี้ก็มีการคุยกันมาก ถึงขนาดที่ว่าเจ้าหน้าที่ที่คอยดูจอ SURVEILLANCE
เหล่านี้มีข้อมูลเยอะมาก หากเขาใช้ข้อมูลในทางที่ผิดก็ย่อมทำได้ มีคนเสนอว่าห้องที่เป็นหน่วยตรวจสอบนี่ห้ามออก
โทรศัพท์ไม่ให้มีห้องน้ำก็สร้างในนั้น พอเริ่มชั่วโมงเทรดก็ห้ามออกนอกห้องเพื่อไม่ให้ถ่ายทอดข้อมูลออกไปข้างนอกได้มีการเสนอถึงขนาดนี้
แต่พอคิดว่าเราต้องกลายๆ หน่อย"
แหล่งข่าวระดับสูงในสมาคมโบรกเกอร์เปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่า
"ผมคิดว่าที่มีปัญหาในช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องการมีคนน้อยเท่านั้น แต่เป็นเรื่องคุณภาพบุคคลากรกับฝ่ายจัดการเรื่องของ
PRIORITY คือการจัดลำดับชั้นความสำคัญของปัญหา และความไม่เข้าใจในวัตถุประสงค์ของฝ่ายตรวจสอบที่ว่าไม่เข้าใจคือการเสนอเรื่องแต่ละเรื่องขึ้นไปนี่
ล้วนเป็นประเภทเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งสิ้น คือจะจับผิดโบรกเกอร์ โดยเอาเรื่องแต่ละเรื่องที่มีความหมายน้อยมาก
เช่นที่ว่าโบรกเกอร์รายนี้ทำผิดอย่างนี้ๆ ซึ่งในภาพรวมแล้วความผิดเหล่านี้ไม่มีความหมาย"
ความผิดที่เกิดขึ้นและมีการรายงานอยู่เป็นประจำได้แก่การทำชอร์เซลล์โดยไม่เจตนา
ซึ่งโบรกเกอร์อ้างว่าเป็นการคีย์ตัวเลขผิดพลาดของพนักงานการส่งมอบใบหุ้นช้า
เป็นต้น
ในทัศนะของโบรกเกอร์นั้นมองว่าการทำธุรกิจจะต้องมีความผิดพลาดบ้างเป็นเรื่องธรรมดาแต่การจับผิดเพื่อหวังผลในการรายงานนั้นน่าจะไม่ใช่ประเด็น
เรื่องที่จะต้องทำคือหน้าที่ในการตรวจสอบซึ่งก็ควรจะเป็นเรื่องของการป้องกันไม่ใช่การปราบปราม
"การรายงานเรื่องโบรกเกอร์ทำผิดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่ไม่ใช่รายงานเพื่อที่จะจับ
ควรจะเป็นการรายงานเพื่อหาทางป้องกันมากกว่า" เจ้าหน้าที่ในบริษัทโบรกเกอร์แห่งหนึ่งให้ความเห็น
การรายงานความผิดของโบรกเกอร์นั้นก็ควรจะรายงานในส่วนที่เป็นความผิดที่เกี่ยวกับนโยบายหรือวัตถุประสงค์
เพื่อที่ว่าคนและเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดจะได้ใช้ไปในทางที่เกิดประโยชน์มากที่สุด
เขาเปิดเผยด้วยว่า "ที่ผ่านมาไม่เคยมีการเรียกฝ่ายโบรกเกอร์มาสอบถามหรือตักเตือนเลยซึ่งจริงๆ
แล้วควรจะมีการพูดคุยกันก่อน นี่คือการป้องกัน แต่ว่าไม่ทำกัน กลับปล่อยให้มีการทำผิดไปเรื่อยๆ
จนเมื่อมีหลักฐานแน่ชัดแล้วมีออกมาจับเลย"
เขายืนยันว่ากรณีบีบีซีที่เป็นต้นเหตุของเรื่องอื้อฉาวในตลาดหุ้นเวลานี้ก็
"ไม่เคยมีการเรียกโบรกเกอร์มาคุยก่อนเลย"
ในทัศนะของเขานั้น "วิกฤติที่เกิดขึ้นครั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบทบาทของทางการที่ปล่อยให้มีการซื้อขายผิดปกติเกิดขึ้นอย่างมากและเป็นเวลานาน
แต่ไม่มีการหยุดยั้งอันนี้ กลับปล่อยให้มีจนกลายเป็นหลักฐานแล้วประกาศจับผมคิดว่าในวันสองวันแรกที่มีการซื้อขายนั้น
ทางการควรจะหยุดแต่ไม่ได้หมายความให้ขึ้นป้าย SP แต่ให้เรียกมาถามว่าทำไมมีการซื้อขายมากผิดปกติ
ซึ่งการทำอย่างนี้จะทำให้คนที่เกี่ยว
ข้องอย่างโบรกเกอร์ที่ปล่อยมาร์จินก็จะหยุด"
อย่างไรก็ดี คำกล่าวเช่นนี้ย่อมถูกมองว่าเป็นคำแก้ตัวของฝ่ายโบรกเกอร์
ซึ่งควรจะยับยั้งชั่งใจการปล่อยมาร์จินได้เองโดยไม่ต้องรอให้ทางการเรียกไปเตือน
เมื่อเห็นว่ามาร์จินที่ปล่อยไปนั้นก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดและมีการสุ่มเสี่ยงมากเกินไป
หรือเกินกว่าเพดานที่ทางการกำหนด
หลังจากที่มีการพูดคุยในหมู่ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ และสมาคมโบรกเกอร์แล้ว
ได้มีการปรับโครงสร้างและโยกย้ายผู้ปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจสอบบริษัทสมาชิก
และการซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาก่อนที่จะมีการโยกย้ายอีกระลอกในเดือนพฤศจิกายน
ฝ่ายบริษัทสมาชิกแต่เดิมนั้นมีสุวชา มิ่งขวัญเป็นผู้อำนวยการดูแลรับผิดชอบ
ฝ่ายนี้ทำหน้าที่ในการควบคุมการปฏิบัติงานของโบรกเกอร์ การขึ้นเครื่องหมายต่างๆ
ของหลักทรัพย์ และการสอบสวนพฤติกรรมการปั่นหุ้น
การปฏิบัติงานของฝ่ายนี้ที่ผ่านมาถูกมองว่าล่าช้าไม่คล่องตัว หลายครั้งมีกระแสคัดค้านเรื่องการแขวนป้ายหรือขึ้นเครื่องหมายต่างๆ
ว่าไม่มีความเป็นธรรม โดยเฉพาะการขึ้นเครื่องหมาย DS ในหุ้นที่มีการซื้อขายมากผิดปกติ
และการขึ้นและปลดป้าย SP โดยการร้องขอจากเจ้าของบริษัทแต่ฝ่ายเดียว
ฝ่ายบริษัทสมาชิกถูกแยกออกเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่ายห้องค้าและตรวจสอบการซื้อขายหลักทรัพย์และฝ่ายกำกับและตรวจสอบสมาชิกโครงสร้างนี้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่
15 ตุลาคม
ส่วนฝ่ายห้องค้าเดิมที่มีงานอยู่ 3 ส่วน ก็จับส่วนรับฝากใบหุ้น และส่วนชำระราคาและบริการไว้ฝ่ายหนึ่ง
เอาห้องค้าไปรวมกับการตรวจสอบการซื้อขายหลักทรัพย์
มีการโยกย้ายสุวิชาไปเป็นผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์และมอบหมายให้ ดร.สุรัตน
พลาลิขิตผู้จัดการศูนย์คอมพิวเตอร์เข้ามาดูแลฝ่ายห้องค้าและตรวจสอบการซื้อขายด้วยอีกโสตหนึ่ง
นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงในฝ่ายบริษัทจดทะเบียนซึ่งมีโสภาวดี เลิศมนัสชัยเป็นผู้ดูแล
โสภาวดี ถูกยิมตัวไปช่วยงานที่ก.ล.ต.เป็นการชั่วคราวและกำลังถูกเรียกตัวกลับให้มารับผิดชอบงานในตำแหน่งเดิม
เสรี จินตนเสรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ถูกแรงกดดันจากหลายฝ่ายให้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้าง
และการทำงานของหน่วยงานเหล่านี้หลังจากที่มีข่าวความขัดแย้งระหว่างตัวเขากับเลขาธิการก.ล.ต.-เอกกมล
คีรีวัฒน์ซึ่งเป็นรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่ถูกยืมตัวมาช่วยงานที่ก.ล.ต.
ว่ากันว่าความขัดแย้งของคนคู่นี้เป็นปัญหาเรื่องแนวคิดในการมองบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ
ในด้านการเสนอข้อมูลข่าวสารแก่นักลงทุนรวมทั้งเรื่องงานประชาสัมพันธ์
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เน้นงานประชาสัมพันธ์ที่เป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์องค์กรและผู้บริหารองค์กรมากเกินไป
ขณะที่งานเผยแพร่ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนและบริษัทรับอนุญาตในตลาดหลักทรัพย์ฯ
มีอยู่เป็นส่วนน้อย คือมีในเอกสารหัวม่วง ส่วนศูนย์ข้อมูลธุรกิจหลักทรัพย์หรือระบบ
SIMS นั้น ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรและยังให้บริการได้ไม่ทั่วถึง
วิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการบงล.นวธนกิจและดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ
ด้วยให้ความเห็นว่า "ข้อมูลที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับทราบนั้น นักลงทุนก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับทราบด้วย
ไม่ใช่สั่งพักการซื้อขายอีกครั้งกลับไม่มีการชี้แจงข้อมูลใดๆ ออกมาเลย"
ทั้งนี้วิโรจน์หมายถึงการปลดเครื่องหมาย SP ในหุ้นแทบทุกตัวจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ตลาดฯ
ได้รับรู้ให้กับนักลงทุนเลย
นอกจากนี้วิโรจน์ยังให้ความเห็นสนับสนุนการปรบโครงสร้างตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดยเฉพาะในส่วนของฝ่ายตรวจสอบการซื้อขายหลักทรัพย์และการกำกับดูแลบริษัทสมาชิก(โบรกเกอร์)
วิโรจน์กล่าวว่า "ที่ผ่านมามีโบรกเกอร์ปฏิบัติผิดกฎระเบียบหลายรายเนื่องจากมีความคิดว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ
ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปแก้ไขได้"
สิ่งที่วิโรจน์ต้องการสะท้อนออกมาในเรื่องนื้คือในระยะที่ผ่านมานั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ
กับโบรกเกอร์ไม่ได้มีการประสานกันมากพอ ตั้งแต่ระยะก่อนหน้าที่เสรีขึ้นมาเป็นกรรมการผู้จัดการเมื่อ
1 กรกฎาคม 2535 แล้ว เขากล่าวว่าที่ประชุมคณะกรรมการตลาดฯ เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนได้มีข้อสรุปอย่างหนึ่งว่าโบรกเกอร์กับตลาดหลักทรัพย์ฯ
จะต้องมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดเพราะองค์กรทั้งสองเปรียบเสมือนหน่วยงานเดียวกัน
วิโรจน์ยอมรับว่าการเคลื่อนไหวในการซื้อขายหลักทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือหรือการหลบหลีกกฎข้อบังคับส่วนใหญ่จะออกมาจากโบรกเกอร์แทบทั้งสิ้น
ความระหว่างบรรทัดของวิโรจน์ก็คือหากมีการประสานงานระหว่างโบรกเกอร์และตลาดหลักทรัพย์ฯ
อย่างดีแล้วอาจจะมีปัญหาในการกำกับให้บริษัทสมาชิกปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์น้อยลงก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามหลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนผู้รับผิดชอบเรื่องการกำกับบริษัทสมาชิก
และการควบคุมการซื้อขายหลักทรัพย์แล้วแหล่งข่าวระดับสูงในสมาคมโบรกเกอร์ยอมรับว่ามีการประสานงานกันมากขึ้น
"ตั้งแต่ดร.สุรัตน์เข้ามานี่นโยบายดีขึ้น ทางฝ่ายตลาดฯ มีการโทรฯมาถามโบรกเกอร์
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีในแง่ที่มีความร่วมมือกันมีการสื่อสารกัน สมัยก่อนภาพจะออกมาในแง่ที่ว่าตลาดฯ
เป็นคนไล่จับ โบรกเกอร์วิ่งหนี โบรกเกอร์ทำชั่วเป็นคนเลว หรืออย่างตอนนี้ก็คือใครเปิดบัญชีให้เสี่ยสองเป็นคนเลว"
แหล่งข่าวรายเดิมให้ความเห็นอย่างมีอารมณ์
ปัญหาเรื่องการตรวจสอบฯ ซึ่งเป็นสาเหตสำคัญที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนในองค์กรตลาดหลักทรัพย์ฯ
ไม่ใช่ประเด็นเดียวที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตตลาดทุนในครั้งนี้ ยังมีปัญหาอีกหลายประการซึ่งมีการพูดถึงกันในวงกว้างบ้างแล้ว
แต่ยังไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมเหมือนกรณีการตรวจสอบฯ
ปัญหาที่ว่านี้ได้แก่การเปิดเผยข้อมูลวงในเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ให้เป็นข้อมูลทั่วไปที่นักลงทุนสามารถรับทราบได้อย่างเท่าเทียมกัน
กรณีที่เป็นที่สนใจกันมากคือการเปิดเผยข้อมูลวงในเกี่ยวกับปริมาณการซื้อขายหุ้น
ในกฎหมายก.ล.ต.ระบุว่าหากนักลงทุนซื้อขายหุ้นถึง 5% ต้องแจ้งให้ก.ล.ต.ทราบและก.ล.ต.จะแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ
และนักลงทุนทั่วไปทราบอีกทอดหนึ่ง
ปัญหาคือก่อนที่จะซื้อถึง 5% นั้นจำเป็นที่จะต้องแจ้งก.ล.ต. และนักลงทุนควรจะได้รับทราบหรือไม่ว่าขณะนี้มีการซื้อขายหุ้นรายการใหญ่
(BIG LOT) เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เรื่องการซื้อขายหุ้น BIG LOT นั้นกฎหมายก.ล.ต.กำหนดว่าผู้ใดที่ซื้อหุ้นเกินมูลค่า
10 ล้านบาทหรือมูลค่าเกินกว่า 10% ของทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว จะต้องแจ้งชื่อผู้ซื้อและผู้ขายให้แก่ตลาดหลักทรัพย์ฯ
ข้อมูลนี้จะปรากฏในกระดานพิเศษ (BIG LOT)
แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดเผยข้อมูลนี้ในลักษณะของตัวเลขรวม ไม่ระบุชื่อผู้ซื้อผู้ขาย
ขณะที่ข้อมูลเช่นนี้ในต่างประเทศจะมีการเปิดเผยให้นักลงทุนทั่วไปทราบได้
ส่วนตลาดหลักทรัพย์ไทยนั้นจะเปิดเผยชื่อผู้ซื้อก็ต่อเมื่อมีการซื้อถึง
5% แล้ว
ธรรมนูญให้ความเห็นว่า "กฎหมายไทยกำหนดว่าต้องเป็น 5% ให้รายงานก.ล.ต.ตามมาตรา
246 ซึ่งผมเข้าใจว่าเอามาจากของอเมริกันแต่ของอังกฤษนั้นกำหนดว่าทุก 3% ต้องรายงาน
ทั้งนี้เพราะถือหลักว่าการซื้อหุ้นมากกว่า 5% หรือ 3% นั้นแสดงวามีเจตนามากกว่าที่จะเป็นนักลงทุน
และหากมีการซื้อเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ก็จะเข้าตามมาตรา 247 คือมีเจตนาที่จะเทคโอเวอร์
หากซื้อถึง 25% ต้องแจ้งก.ล.ต. และก.ล.ต.จะดูว่าภายในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมานี้มีการซื้อเพิ่มอีก
2% ไหมหากมีการซื้อเพิ่มเป็น 27% ก็ต้องทำ PUBLIC TENDER OFFER หรือในรอบ
12 เดือนหากมีการซื้อเพิ่มครั้งละ 1% ก็ต้องรายงานก.ล.ต.อันนี้ไม่ใช่ 5%
แล้ว"
นั่นหมายความว่าหากนักลงทุนใช้วิธีซื้อหุ้นตัวเดียวกันผ่านบัญชีของคนอื่นโดยซื้อครั้งละไม่เกิน
5% เขาก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งก.ล.ต. ?!!!
นอกจากนี้พิเศษ เสตเสถียร นักกฎหมายหลักทรัพย์ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับข้อต่างของการเขียนกฎหมายเรื่องการค้าหุ้นโดยใช้ข้อมูลวงในระหว่างพ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ
ฉบับเก่ากับกฎหมายก.ล.ต.ที่เพิ่งประกาศใช้ว่า "มีการระบุข้อความที่ต่างกันซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการเข้าใจผิดได้"
ในมาตรา 265 ของกฎหมายก.ล.ต.ใหม่มีการระบุข้อความที่แตกต่างออกไปจากในมาตรา
42 เบญจของพ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ ฉบับเก่าในประเด็นที่เกี่ยวข้องข้อเท็จจริงซึ่งเป็นข้อมูลวงใน
"ทำไมเงื่อนไขที่ว่าข้อเท็จจริงที่รู้ต้องเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์
(ในมาตรา 42) จึงถูกทำตกหล่นหายไป (จากมาตรา 265) เหลืออยู่แค่ข้อเท็จจริงที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อประชาชน
(ในมาตรา 265) ซึ่งก็แปลว่าข้อเท็จจริงไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ มีสาระสำคัญ
หรือไม่สำคัญกลายเป็น INSIDE INFORMATION ไปหมด ผมคิดว่าคงจะไม่ใช่เจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะให้เป็นไปเช่นนั้นแน่นอน"
"ผมไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายแต่ถ้าดูร่างมาตรา 265 ก็จะเห็นว่าเขายังคงหลักการเรื่องข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญอยู่
แต่เอาไว้ใน (3) คือเอาไว้ให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐเช่น คนของก.ล.ต.กับคนของตลาดหลักทรัพย์ฯ
เท่านั้นที่รู้ข้อมูลแล้วไม่เป็นไร แต่คนอื่นนอกจากนี้รู้อะไรมามีสิทธิกลายเป็นผู้ต้องหากันถ้วนหน้า"
พิเศษกล่าวว่า "เขียนกฎหมายแบบนี้มันชวนให้เข้าใจผิดได้นะครับ"
พิเศษพุ่งเป้าไปที่ตัวบทกฎหมายและเจ้าหน้าที่ก.ล.ต.และหลักทรัพย์ฯ ผู้บังคับใช้กฎหมาย
ขณะที่ธรรมนูญให้ความสำคัญกับกลุ่มนักลงทุน-ผู้ปฏิบัติความหมาย
ธรรมนูญมองว่า "แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายนี้แล้ว ก็คงช่วยไม่ให้เกิดเรื่องปั่นหุ้นได้บ้างเล็กน้อยเท่านั้น
ถึงจะเปิดเผยข้อมูลอย่างเต็มที่ (FULLY DISCLOSURE) นักลงทุนก็คงจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการเปิดเผยนี้ได้
100% โดยเฉพาะในต่างจังหวัดซึ่งไม่ค่อยมีความสนใจในข้อมูลเหล่านี้เลย"
ส่วนการเปิดเผยข้อมูลอื่นๆ นั้น ธรรมนูญมีความเห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทำหน้าที่เต็มความสามารถในระดับหนึ่ง
แต่ข้อมูลเหล่านี้จะหลุดเล็ดลอดออกไปก่อนที่จะเดินทางไปถึงตลาดหลักทรัพย์ฯ
เช่นการเพิ่มทุนหรือแตกพาร์ ซึ่งจะมีข่าวแพร่กระจายในหมู่นักลงทุนก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ
จะประกาศออกมา
ในบางกรณีนักลงทุนรู้อย่างละเอียดว่าจะเพิ่มทุนเท่าไหร่ มีสัดส่วนเท่าไหร่
ราคาเท่าไหร่ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่รู้ข้อมูลใดๆ เลย หรือแม่แต่เจ้าของกิจการเองก็ตาม
หลังจากที่ออกมายืนยันว่าจะไม่มีการแตกพาร์แล้ว 3 อาทิตย์ให้หลังกลับกลืนคำพูดอย่างกรณี
แบงก์กรุงเทพ และแบงก์ไทยพาณิชย์ เป็นต้น
การควบคุมการเปิดเผยข้อมูลส่วนนี้ ไม่ว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ใดๆ ในโลกก็ไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่
100%
ธรรมนูญยอมรับว่าปัญหาเรื่องการเปิดเผยข้อมูลวงในเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวครั้งแล้วครั้งเล่าในตลาดหุ้นไทย
เพราะแท้ที่จริงแล้วตลาดหุ้นไทยไม่ใช่เป็นตลาดซื้อขายใบหุ้นตามชื่อเรียก
แต่เป็นตลาดซื้อขายข้อมูล นักลงทุนซื้อขายหุ้นโดยอาศัยข้อมูลเป็นตัวกำหนดหรือ
TRADE ON INFORMATION
อีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องการขึ้นป้าย DS.SP ซึ่งในหลายครั้งไม่ใช่การขึ้นป้ายธรรมดา
แต่เป็นการ "แจก" ป้ายกันเลย
กรณีป้ายเหล่านี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนและมีการเลือกปฏิบัติ
"หุ้นใหญ่ๆ มีราคาหวือหวาแต่ไม่มีการแขวนป้าย พอหุ้นตัวเล็กราคาขึ้นหน่อยก็โดน
DS ทันที มันมีความไม่ยุติธรรม และความลักลั่นอยู่ และที่สำคัญคือขึ้น DS
แต่ละครั้งตลาดฯ ก็หาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ เท่าที่ฟังดูตลาดฯ ใช้ความรู้สึก
บางทีก็ใช้อารมณ์ ดู MOOD ของตลาดและบางทีมันไปเกี่ยวพันกับผู้บริหารของหุ้นตัวนั้นๆ
ด้วย อันนี้เป็นเรื่องที่เรารู้กันอยู่"
ธรรมนูญให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า "ผมไม่อยากให้มีป้าย DS อยากให้เป็น
DS ไปเลยมากกว่าโดยเมื่อขึ้นป้าย SP แล้วก็จะต้องมีมาตรการออกมา 4 อย่างต่อเนื่องกันไปเลย"
มาตรการที่ว่าคือต้องบอกเหตุผลว่าทำไม SP ในทันที ต้องมีคณะทำงานชุดหนึ่งประมาณ
5 คนมาจากเจ้าหน้าที่ตลาดฯ 2 คนและมาจากข้างนอกซึ่งจะถูกเชิญเข้ามาโดยไม่รู้ตัวอีก
3 คนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ อาจมาจากมหาวิทยาลัยและคน 3 คนนี้จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
คณะทำงานนี้เข้ามาพิจารณาการ SP เมื่อพิจารณาเสร็จก็ส่งให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ
และทำการเปิดเผยทันที และประการสุดท้ายต้องหามาตรการด้วยว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ปลดป้ายหรือจะแขวนป้ายต่อ
ทั้งนี้ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีอำนาจแขวนป้ายได้ 7 วัน เมื่อครบแล้วก็ต้องมีการชี้แจงออกมาว่าจะ
SP ต่อหรือไม่เพราะอะไร
ในต่างประเทศนั้นมีวิธีการมองการขึ้นป้าย DS หรือ SP อยู่ 3 วิธีคือ
-ดูการเคลื่อนไหวของราคาว่ามีความหวือหวาอย่างไร (PRICING MOVEMENT) มีการเคลื่อนไหวในรูปของตัว
U หรือตัว L
-ดูที่ปริมาณการซื้อขาย (VOLUME) เช่นราคาขึ้นสูงมากแต่มีปริมาณการซื้อแค่
100 หรือ 200 หุ้นเท่านั้น อันนี้เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ
-ดูเวลา (TIMING) ว่าถี่หรือห่างอย่างไร
นี่คือหลักการทั่วไปในระบบสากลของตลาดหลักทรัพย์ แต่วิธีปฏิบัติเช่นนี้ก็ยังไม่เคยมีการนำมาใช้ในตลาดหลักทรัพย์ไทย
ธรรมนูญได้ขยายความในประเด็นนี้อีกว่า "คณะทำงานฯ นี้เมื่อวินิจฉัยแล้วจะต้องมีการเปิดเผยต่อสาธารณะถึงเหตุผลในการแขวนป้ายและข้อวินิจฉัยของตนในทันที
การสรุปนี้อาจจะยากแต่มันมีแนวทางปฏิบัติอยู่ คือให้บอกถึงข้อเท็จจริงที่กรรมการได้ตรวจพบ
เช่นมีการซื้อขายผิดปกติอย่างไรด้วยวิธีการอย่างไร ในระยะเวลาใด นี่เป็น
FACT ทีไม่สามารถบิดพลิ้วได้ และบอกถึงความเห็นหรือ OPINION ซึ่งคล้ายกับรายงานของผู้สอบบัญชี
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถว่ากล่าวกันได้"
การสรุปความเห็นนี้ต้องเปิดเผยว่ากรรมการแต่ละคนมีความเห็นอย่างไร แล้วเอาความเห็นนี้มารวมเพื่อโหวตว่าจะถอดป้ายหรือทำโทษ
ดังนั้นกรรมการชุดนี้ต้องมีจำนวนเป็นเลขคี่
เหตุผลและข้อวินิจฉัยทั้งในส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงและความเห็นนี้ต้องเปิดเผยให้นักลงทุนได้รู้ด้วยไม่ใช่ส่งให้แต่ก.ล.ต.เท่านั้น
ส่วนนักลงทุนจะเข้าใจอย่างไรเป็นเรื่องวิจารณญาณของแต่ละคนเอง
ปัญหาในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับนักลงทุนซึ่งมีผลกระทบต่อวิกฤตตลาดฯ ครั้งนี้ด้วยคือการที่ตลาดหุ้นไทยขาดนักลงทุนประเภทสถาบัน
ซึ่งอาศัยผู้บริหารมืออาชีพ ในการบริหารกองทุน
ธรรมนูญเชื่อว่าบริหารมืออาชีพเหล่านี้จะไม่หลงเชื่อข่าวลือต่างๆ อย่างง่ายดายโดยไม่มีการตรวจสอบ
ผู้บริหารเหล่านี้มีประสบการณ์มากพอที่จะจำแนกแยกแยะความจริงหรือเท็จในข่าวลือต่างๆ
ที่เกิดขึ้น
หากตลาดหุ้นไทยมีผู้บริหารมืออาชีพมากพอจะไม่เกิดเหตุการณ์ประท้วงไล่ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ
เป็นอันขาด ธรรมนูญเชื่อเช่นนั้น
เขามองด้วยว่าประเด็นในส่วนของนักลงทุนก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ประท้วงไล่ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ
เป็นอันขาด ธรรมนูญเชื่อเช่นนั้น
เขามองด้วยว่าประเด็นในส่วนของนักลงทุนก็เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤติตลาดหุ้นในทุกครั้งกลุ่มนักลงทุนรายย่อยค่อนข้างตื่นตระหนกกับข่าวลือต่างๆ
ง่ายมาก และมีวิธีการลงทุนประเภทเก็งกำไรอย่างเดียว
เมื่อหุ้นตก คนเหล่านี้ก็หวังที่จะให้รัฐบาลเข้าช่วยเหลือโดยตั้งกองทุนพยุงราคาหุ้น
แต่การที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังอนุมัติให้มีการตั้งกองทุนเพื่อช่วยพยุงราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ
นั้น ว่าโดยคำพูดและความเข้าใจแบบชาวบ้านก็คือรัฐบาลเป็นผู้ปั่นราคาหุ้นเอง
แต่รัฐบาลให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องทำเพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเมือง
ในทางเศรษฐกิจนั้น ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าเป็นการผิดหลักการอย่างมากๆ
เพราะเป็นการแทรกแซง "การทำอย่างนี้ไม่ผิดอะไรกับการปั่นหุ้นเหมือนกับที่รัฐบาลออกหวยซึ่งเรียกด้วยภาษาหรูๆ
ว่าสลากกินแบ่งแต่มีกฎหมายรองรับ และการปั่นหุ้นของรัฐบาลโดยกองทุนที่ตั้งขึ้นมานี้ก็มีคำสั่งรมต.ซึ่งชอบด้วยกฎหมายเป็นตัวรองรับเหมือนกัน"
ในเมื่อนักลงทุนรายย่อยมีปัญหาในแง่ที่ส่วนมากมักมีพฤติกรรมการลงทุนในแบบเก็งกำไรจึงมีความพยายามที่จะผลักดันกฎหมาย
PRIVATE FULD ออกมาให้ได้
และผลจากการที่สองถูกจับก.ล.ต.ได้หันมาพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
วสันต์ เทียนหอม ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย สำนักงานก.ล.ต.เปิดเผยว่า "ผู้ที่จะขอใบอนุญาตบริหารกองทุนส่วนบุคคลนั้นจะต้องจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่
มีสถาบันหลายแห่งร่วมกันถือหุ้น มีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทรับบริหารเงินลงทุนตั้งแต่
10 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวนบุคคลในกองทุนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป"
ทุนจดทะเบียนจำนวนนี้กำหนดตามคุณสมบัติของบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านหลักทรัพย์
ผู้บริหารกองทุนส่วนบุคคลสามารถกำหนดค่าธรรมเนียมในการบริหารกองทุนได้เอง
ทางการจะไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องนี้
บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลที่จะเกิดขึ้นใหม่นี้ไม่สามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้ด้วยตนเองต้องทำการซื้อขายผ่าน
โบรกเกอร์และจะต้องฝากใบหุ้นไว้กับบริษัทรับฝากและดูแลใบหุ้น (CUSSTODIAN)
ด้วย
การจัดตั้งและบริหารกองทุนส่วนบุคคลนี้มีแนวคิดกันมาตั้งแต่ปลายปี 2534
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์จับเสี่ยสอง จึงได้มีการทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ทั้งนี้ภาพของการซื้อขายหลักทรัพย์ในปัจจุบันประกอบขึ้นด้วยกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน
เพื่อให้มีวงเงินลงทุนจำนวนมากพอสำหรับการผลักดันราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งให้สูงขึ้นได้
จุดนี้เป็นที่มาของขบวนการสร้างราคาหุ้น การปั่นหุ้น การใช้ข้อมูลวงในอาศัยอิทธิพลของการเป็นนักลงทุนกลุ่มใหญ่เพื่อครอบงำการซื้อขายหุ้นบางตัวในตลาดหลักทรัพย์
นักวิชาการด้านหลักทรัพย์หลายคนให้ความเห็นคล้ายคลึงกันว่าการมีใบอนญาตจัดตั้ง
และบริหารกองทุนส่วนบุคคลน่าจะช่วยลดลักษณะการครอบงำการซื้อขายหุ้น และการสร้างราคาหุ้นโดยนักลงทุนรายใหญ่ๆ
หรือกลุ่มใหญ่ๆ ได้และคนเหล่านี้ควรเข้ามาสู่ระบบที่เปิดไว้เพื่อให้การลงทุนนั้นๆ
เป็นไปอย่างถูกกฎหมาย
ขั้นตอนล่าสุดยังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างหลักการ หลังจากที่ก.ล.ต.พิจารณาเห็นชอบในหลักการแล้ว
จึงร่างเป็นกฎกระทรวงส่งให้รมต.คลังเสนอเจ้าคณะรัฐมนตรี ส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา
ส่งกลับมาเข้าครม.แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษา
คาดหมายว่าในกลางปี 2536 จึงจะประกาศใช้ได้
ธรรมนูญให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า "ผมไม่เห็นด้วยที่จะออกใบอนุญาตนี้ให้กับตัวบุคคล
แต่ควรจะออกให้กับองค์กรที่มีกฎหมายรองรับ เช่น บง.บล.ธนาคารพาณิชย์ บริษัทรับจัดการทรัพย์สิน
คือเป็นองค์กรที่มีเครื่องมือในการเป็นที่ปรึกษาและลงทุนได้ค่อนข้างพร้อม"
ที่ต้องเป็นสถาบันเพราะตลาดหุ้นไทยยังไม่พร้อมและมีการพัฒนามากเหมือนอย่างในอเมิรกาในญี่ปุ่นนั้นก็ไม่ให้ใบอนุญาตนี้แก่เอกชน
และในญี่ปุ่นยังจะต้องมีบริษัทประกันภัยมาให้ความคุ้มครองด้วย
ประเด็นสำคัญอีกเรื่องที่มีส่วนทำให้เกิดวิกฤติครั้งนี้คือการปล่อยสินเชื่อเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์
(MARGIN LOANS) ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทั้งหลายและรวมไปถึงธนาคารพาณิชย์หลายแห่งด้วย
ธรรมนูญเปิดเผยข้อมูลมาร์จินว่าในรอบ 11 เดือนแรกของปี 2535 สัดส่วนมาร์จินต่อระบบสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก
5% เป็น 12% วงเงินมาร์จินในรอบ 9 เดือนของปี 2535 เพิ่มขึ้นจากประมาณ 19,000
ล้านบาทเป็น 56,000 ล้านบาท
มีโบรกเกอร์ 19 รายที่ปล่อยมาร์จินเกินกว่า 1,000 ล้านบาทและอีก 2 รายเกินกว่า
5,000 ล้านบาท และวงเงินเกินบัญชีหรือวงเงินโอดีของธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่ประมาณ
300,000 ล้านบาทนั้น ประมาณกันว่าอย่างน้อยๆ 20% ได้ถูกนำเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
โบรกเกอร์ที่ปล่อยสินเชื่อหลักทรัพย์มากที่สุดในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2535
คือบงล.ศรีมิตรมูลค่า 9,264.69 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34.30% ของยอดสินเชื่อทั้งหมดของบริษัท
และมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์สูงสุดเป็นอันดับ 2
บงล.ธนชาติมียอดสินเชื่อหลักทรัพย์มูลค่าสูงเป็นอันดับสองคือ 4,407.25
ล้านบาทคิดเป็น 16.68% ของยอดสินเชื่อทั้งหมดของบริษัท
อันดับสามได้แก่บงล.สินเอเชียมียอด 4,224.54 ล้านบาท อันดับสี่คือบงล.นวธนกิจที่มียอดสินเชื่อ
3,312.54 ล้านบาทและมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์สูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง(ดูตาราง
10 อันดับโบรกเกอร์ที่ปล่อยสินเชื่อหลักทรัพย์สูงสุดในรอบ 9 เดือนแรกของปี
2535)
ตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวชี้ชัดเจนว่าประเด็นเรื่องการควบคุมการปล่อยสินเชื่อมีอิทธิพลต่อเสถียรภาพของราคาหุ้นขนาดไหน!
ส่วนประเด็นที่ก.ล.ต.ถูกโจมตีมากหลังจากเกิดการจับเสี่ยสองคือที่มาของกรรมการ
วาระในการดำรงตำแหน่งและเวลาในการทำงานของกรรมการเหล่านี้
โดยเฉพาะเรื่องที่มานั้นเป็นเหตุให้ดร.วีรพงษ์ รามางกูร กรรมการก.ล.ต.ซึ่งมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การต้องประกาศลาออกและจนบัดนี้ก็ยังไม่มีการแต่งตั้งใครเข้ามาแทน
ในสัดส่วนของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมี 4 คนที่เป็นที่ครหาได้เพราะมีตำแหน่งในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ด้วย (ดูตารางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ลักษณะการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้
ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์หรือ CONFLICT OF INTEREST
แต่เหตุผลที่มีการแต่งตั้งคนเหล่านี้เข้าเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพราะลำพังแต่จะหาผู้รู้ที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงเพื่อมาช่วยพัฒนาตลาดทุนนั้นคงเป็นไปได้ยาก
เนื่องจากในบ้านเรามีปัญหาการขาดบุคคลากรทางด้านนี้อย่างมาก
การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้แต่งตั้งโดยคำแนะนำของรมว.คลัง
ในจำนวนไม่น้อยกว่า 4 คนแต่ไม่เกิน 6 คนและต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย
การบัญชี การเงินอย่างละ 1 คน
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะต้องไม่เป็นข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นซึ่งได้รับเลือกตังหรือเป็นสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมืองตามมาตรา
9
ปัญหาคือกรรมการเหล่านี้ควรจะเป็นผู้มีอิสระในการแสดงความคิดเห็นอย่างแท้จริงหรือไม่
ซึ่งหากจะให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรที่กรรมการเหล่านี้จะเป็นผู้บริหาร หรือมีส่วนได้เสียกับบริษัทหลักทรัพย์บริษัทจดทะเบียน
บริษัทรับอนุญาต เนื่องจากจะสามารถให้คุณให้โทษได้โดยตรง
ทางออกที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอไว้โดยเทียบเคียงกับต่างประเทศคือ ไม่ควรที่จะแต่งตั้งกรรมการที่อาจมีส่วนได้เสียหรือมีแนวโน้มที่จะเกิดลักษณะการขัดกันทางผลประโยชน์เข้ามา
หากต้องการที่จะได้คนในวงการเข้ามาร่วมพิจารณาหรือช่วยเหลืองานของก.ล.ต.ก็สามารถทำได้โดยแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการเป็นชุดๆ
พิจารณาช่วยงานเป็นเรื่องๆ ไป ซึ่งก.ล.ต.สามารถแต่งตั้งอนุกรรมการได้ไม่จำกัด
วิธีการเช่นนี้จะช่วยให้พ้นข้อครหาได้เป็นอย่างดี
ประเด็นเรื่องเวลาในการดำรงตำแหน่ง มีปัญหาคือ อยู่ในตำแหน่งนานเกินไป
นานเสียยิ่งกว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและครม.ด้วยซ้ำ โดยกรรมการ 1 ใน 3 ของ
4 หรือ 6 คนซึ่งคณะรัฐมนตรีเปิดโอกาสให้อยู่ตามวาระได้ถึง 6 ปีและหากได้รับการแต่งตั้งอีกก็จะอยู่ในวาระถึง
12 ปี
ประเด็นเรื่องเวลาในการทำงานสัมพันธ์กับที่มาของกรรมการ เพราะงานของก.ล.ต.นั้นมีมากมายมหาศาล
องค์ประกอบของก.ล.ต.ปัจจุบัน มีกรรมการเพียง 2 คนเท่านั้นที่สามารถทำงานเต็มเวลาได้
คือมารวยและเอกกมล-เลขาธิการ
ประเด็นทั้งสามน่าจะเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ก.ล.ต.ปัจจุบันควรจะพิจารณาแก้ไขโดยเร็ว
เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับการดูแลการใช้กฎหมายก.ล.ต.โดยตรง
ผู้ที่วิเคราะห์ติดตามสถานการณ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ มาอย่างใกล้ชิดย่อมดมกลิ่นรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
แม้ว่านักลงทุนในระยะหลังจะไม่ค่อยมีประสบการณ์ร่วมในกรณีของราชาเงินทุน
แต่ก็มีในกรณีบล.ชาวไทย
ทว่าความร้อนแรงของราคาหุ้น และมูลค่าการซื้อขายประกอบกับความเชื่อมั่นในพลังต่อรองของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่
ทำให้ทุกคนพยายามสร้างภาพฝันของดัชนีที่ระดับ 1,000 ให้เกิดขึ้นให้ได้
ทุกอย่างสะดุดลงเมื่อก.ล.ต.พยายามที่จะกระชากความฝันที่สวยสดงดงามทิ้งและผลักดันผู้คนจมลงไปสู่ความฝันที่มืดมิดสนิทบอด
ปัญหาที่ทุกฝ่ายวิพากษ์ก.ล.ต.อย่างหนักคือเมื่อไหร่จะมีการดำเนินคดีกับนักลงทุนรายใหญ่คนหรือกลุ่มอื่นๆ
ที่มีพฤติกรรมการลงทุนไม่แตกต่างไปจากสองแม้แต่น้อย ?
ก.ล.ต.ดำเนินคดีกับสองเพื่อให้เป็นเหยื่อทดลองรายแรกรายเดียวเท่านั้นหรือ
?
และปัญหาใหญ่ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวกับโครงสร้างและการปฏิบัติงานของก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ฯ
เมื่อไหร่จะมีการแก้ไข ?
ตลาดหุ้นไทยกำลังเดินอยู่บนหนทางของการเติบโตที่มีปัจจัยทางเศรษฐกิจในระดับมหภาคที่แข็งแกร่งรองรับ
แต่ความบกพร่องของระบบโครงสร้างตลาดหุ้นที่เกี่ยวข้องกับระบบการเปิดเผยข้อมูลวงในของตลาดหลักทรัพย์
โครงสร้างกรรมการของก.ล.ต.ที่มีปัญหาความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ การพัฒนาที่เชื่องช้าของกฎหมายส่งเสริมนักลงทุนประเภทสถาบัน
และระบบการควบคุมสินเชื่อในธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์กำลังเป็นปัจจัยที่กัดกินตลาดหุ้นจนกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ร้ายแรง
ซึ่งในที่สุดก็จะมีนายสาม นายสี่เรียงแถวเข้ามาเป็นเหยื่อต่อไป!!