|

นักวิชาการฟันธงตลาดหุ้นไทยปี51ไม่ฟื้น
ผู้จัดการรายวัน(3 ธันวาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
นักเศรษฐศาสตร์ชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวแปรสำคัญฉุดเศรษฐกิจโลก "ศุภวุฒิ" คาดศก.สหรัฐฯ ปีหน้าอาจตำกว่า 1.5% ระบุเฟดลดดอกเบี้ยส่งผลให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลก ด้าน "สมชาย" คาดส่งออกปีหน้าโตลดลงเหลือ 10-12% แนะเร่งกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนเพิ่ม พร้อมประสานเสียงให้คะแนนความน่าสนใจตลาดหุ้นเท่าปีก่อนแค่ 5 คะแนน ขณะที่ "ก้องเกียรติ" ฟันธงตลาดหุ้นจะผันผวนส่วน "มนตรี" ฝันเห็นดัชนี 1,000 จุดในปี 2-3 เดือนข้างหน้า
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 4/50 อาจจะเติบโตในระดับที่ต่ำกว่า 1% ในขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะเติบโตในระดับประมาณ 1.5% และมีโอกาสที่จะเติบโตต่ำกว่าระดับดังกล่าว โดยสถานการณ์ของระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในตอนนี้เหมือนวิกฤตเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยในปี 2540
ทั้งนี้ การเข้ามาแก้ปัญหาเพื่อบรรเทาความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะเป็นการแก้ปัญหาภายในของสหรัฐฯ ในจากเรื่องดังกล่าวกับกลายเป็นการสร้างปัญหาเงินเฟ้อขึ้นให้กับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศที่ผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็นประเทศผู้ค้าน้ำมันที่กำหนดราคาน้ำมันเป็นดอลลาร์ รวมถึงราคาสินค้าและบริการต่างๆ ที่ผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมาโดยตลอด และอาจจะอ่อนค่าได้อีกจากการแก้ปัญหาภายในประเทศของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เริ่มมีสัญญาณในการพยายามนำเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องมาเปลี่ยนแปลงเป็นสินค้าอื่นมากขึ้น โดยหลายประเทศที่เก็บเงินดอลลาร์เพื่อเป็นทุนสำรองอย่างเป็นประเทศจีน หรือประเทศที่ได้รับเงินดอลลาร์เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง ได้มีการตั้งกองทุนเพื่อนำเงินในส่วนที่เกินความจำเป็นไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นเพื่อไม่ให้ค่าของเงินดอลลาร์ที่ถือครองไว้ลดลงจากที่เป็นอยู่
นายศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า การลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 51 เชื่อว่ามีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความชัดเจนในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล โดยนโยบายประชานิยมที่หลายพรรคการเมืองใช้ในการหาเสียงจะถูกนำมาใช้ซึ่งจะทำให้การลงทุนในภาคเอกชนเพื่อขึ้นตามไปด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะจะเริ่มมีคำถามตามมาถึงนโยบายต่างๆว่าจะมีการสานต่อหรือมีความเป็นไปได้มากเพียงใดในปีต่อๆไปซึ่งจะกลับกลายเป็นประเด็นที่เข้ามากดดันการลงทุนในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ถือว่าอาจจะมีความเสี่ยงที่น้อยกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆในสถานการณ์ที่ปัจจัยนอกประเทศค่อนข้างมีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางการลงทุน คือ กลุ่มที่ไม่อิงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งกลุ่มที่สามารถบริหารจัดการและไม่ผูกติดกับค่าเงินที่ผันผวนได้ เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น โดยให้คะแนนความน่าสนใจในตลาดหุ้นปีหน้าในระดับ 5 คะแนน
การเมืองฉุดเศรษฐกิจยาว
นายสมชาย ภคภาควิวัฒน์ ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ความไม่แน่นอนทั้งในส่วนของเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) รวมถึงความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยน่าจะยังเกิดขึ้นอีกอย่างน้อย 6-7 เดือนข้างหน้า เนื่องจากนอกเหนือจากปัญหาซับไพรม์ที่ยังไม่จบแล้วยังมีปัญหาในเรื่องราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับที่สูง โดยนักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกในปีหน้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งหากราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก
ทั้งนี้ ภาคการส่งออกของประเทศไทยซึ่งถือว่าเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในหน้าอัตราการเติบโตของการส่งออกอาจจะลดลงเหลือเพียง 10-12% จากปีนี้ที่เติบโตอยู่ในระดับ 14-15% โดยสิ่งที่จะรัฐบาลใหม่จะต้องเร่งดำเนินการเพิ่มเป็นการพยุงและช่วยสร้างสมดุลจากการส่งออกที่ลดลงคือ การเร่งการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
"เศรษฐกิจในปีหน้าจะเป็นอย่างไรคงต้องดูที่ปัญหาเรื่องซับไพรม์ รวมทั้งราคาน้ำมันเป็นหลัก ขณะที่เรื่องการเมืองจะเป็นเรื่องที่มีปัญหาอย่างแน่นอนและจะเป็นปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย"นายสมชายกล่าว
สำหรับปัญหาทางการเมืองในประเทศ ส่วนตัวเชื่อว่าจะเป็นปัญหาต่อการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทยไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลจะต้องเป็นรัฐบาลผสมค่อนข้างแน่นอน และจากปัญหาดังกล่าวอาจจะนำไปสู่การปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงของเศรษฐกิจในอีกหลายปีข้างหน้า
ในส่วนของภาคการลงทุนในตลาดหุ้นเชื่อว่าผลจากสภาพคล่องในโลกที่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากจะทำให้เม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดหุ้นอาจจะได้รับแรงหนุนเพิ่มเติบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้เกิดผลกำไรได้ทั้งจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยคาดว่าค่าเงินบาทในปีหน้าอาจจะมีโอกาสแข็งค่ามีอยู่ที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยให้คะแนนตลาดหุ้นไทยในปีหน้าที่ 5 คะแนน
จี้รัฐบาลใหม่เร่งลงทุน
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตในระดับ 4.8% บนสมมติฐานที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะต้องเติบโตในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 1.9% ในขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีนี้ แต่ก็มีโอกาสที่จะเติบโตได้มากกว่าปีนี้หากสถานการณ์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้งมีความชัดเจน
ทั้งนี้ การเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลการเร่งใช้นโยบายในเรื่องการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปยังภาคเอกชนให้มีการลงทุนเพิ่มเพื่อรองรับกับโครงการต่างๆที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่หากพิจารณาถึงกำลังการผลิตของภาคเอกชนไทยพบว่ากำลังการผลิตในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่สูงจนต้องมีการเพิ่มกำลังการผลิตแล้วแต่ที่ผ่านมาสาเหตุที่ภาคเอกชนยังไม่ตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตเนื่องจากยังไม่มีความมั่นใจต่อนโยบายและสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ
"แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แต่หากภาคเอกชนมีศักยภาพในการบริหารจัดการเพื่อรองรับกับเรื่องดังกล่าวจนทำให้ไม่เกิดปัญหา รวมทั้งมีการเพิ่มศักยภาพในการแข็งขันก็จะสามารถทำให้ธุรกิจเดินต่อไป"นายก้องเกียรติกล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเซีย พลัส กล่าวอีกว่า สำหรับภาคการลงทุนในตลาดหุ้นเชื่อปัจจัยบวกที่จะเข้ามาในตลาดทุนเรื่องสำคัญคือการเติบโตของอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าคาดว่าจะเติบโตกว่าปีนี้ถึง 23% โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์อาจจะมีการเติบโตสูงถึง 180% เนื่องจากในปีนี้ได้มีการตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ในขณะที่ปีหน้าจะไม่ต้องทำการตั้งสำรองเพิ่มเติมก็จะส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในปีหน้าคาดว่าจะยังคงผันผวนต่อเนื่องจากปีนี้ เนื่องจากยังมีปัจจัยที่ยังเป็นปัจจัยกระทบการลงทุนหลายเรื่องที่อาจจะสร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุนเมื่อใดก็ได้ โดยให้คะแนนความน่าสนใจในตลาดหุ้นปีหน้าในระดับ 7 คะแนนครึ่ง
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยไม่ค่อนเป็นตัวของตัวเองยังคงเคลื่อนไหวตามปัจจัยจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่ในปีหน้าจะเป็นปีที่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้นการลงทุนมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองที่ดีขึ้น การบริโภคที่สูงขึ้น การลงทุนที่เพิ่มขึ้น อัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากปีนี้โดยคาดว่าจะเติบโตในระดับ 20-25% โดยคาดว่าในปีก 2-3 เดือนข้างหน้าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสแตะระดับ 1,000 จุดได้ทำให้ยังให้คะแนนความน่าสนใจในการลงทุนอยู่ในระดับ 7 คะแนน
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|