|
QH หวังคอนโดฯ-คาซ่าฯ ดันรายได้ชดเชยบ้านหรู
ผู้จัดการรายวัน(30 พฤศจิกายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
บิ๊กคิวเฮ้าส์ ฉายภาพตลาดอสังหาฯปีชวด แนวโน้มเติบโตในอัตราทรงตัว เหตุเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน ตัวแปรกระทบผู้ซื้อบ้าน แต่ตลาดคอนโดมิเนียมยังเติบโตต่อเนื่อง คาดจะมีโอกาสขยับราคาขึ้นไปอีก 20-30% ระบุตลาดบ้านหรู ยังไปได้ เหลือผู้พัฒนาแค่ 3 ค่าย คือ แลนด์-คิวเฮ้าส์และแสนสิริ เล็งไตรมาส 2 ปี 51 ออกหุ้นกู้ 2,000 ล้านบาท ชำระหุ้นกู้ครบกำหนดและซื้อแลนด์แบงก์ ปูพรมเปิดโครงการใหม่ทั้งเครือ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 33,000 ล้านบาท เปรยธปท.อาจจะยกเลิกกันสำรอง 30%
นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2551 ว่า ยังคงมีอัตรเติบโตในระดับที่ทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2550 เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจในประเทศจะขยายตัวในอัตราที่เท่าเดิม ประกอบกับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวขึ้น และผลกระทบจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย(ดีมานด์) ที่คาดว่าจะอยู่ในภาวะทรงตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ในตลาดของคอนโดมิเนียม ในปีหน้ายังมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีนี้ เนื่องจากความต้องการซื้อห้องชุดของโครงการคอนโดมิเนียมในระดับล่างมีจำนวนมาก และเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่
ขณะที่ ตลาดที่อยู่อาศัยในระดับบน คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการบ้านระดับบน ที่อยู่ในตลาดเหลือเพียง 3 ราย ได้แก่ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ , บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ฯและบริษัท แสนสิริฯ เนื่องจากพบว่า ผู้ประกอบการรายอื่นๆ หันไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ส่งผลให้ตลาดบ้านระดับบนมีการแข่งขันอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ แนวโน้มการปรับตัวของราคาบ้านเดี่ยว ในปี 51 คาดว่าจะปรับราคาขึ้นไม่เกิน 5% เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคอยู่ในปริมาณที่จำกัด ในขณะที่ ตลาดคอนโดมิเนียมมีโอกาสปรับราคาสูงขึ้นอีก 20-30%
" สาเหตุที่บ้านเดี่ยวมีอัตราการปรับราคาขึ้นไม่มาก เพราะผู้ซื้อบ้านส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย ความต้องการเลยมีจำกัด ขณะที่ห้องชุดในคอนโดมิเนียม ลูกค้าต่างชาติสามารถซื้อได้ตามสัดส่วนไม่เกิน 49% ของพื้นที่ขายทั้งหมด ทำให้กำลังซื้อบางส่วนของตลาดบ้านเดี่ยวไหลเข้ามาสู่ตลาดคอนโดมิเนียม ประกอบกับ กำลังซื้อของชาวต่างชาติมีสูงกว่าคนไทย และราคาขายคอนโดมิเนียมในประเทศ เมื่อเปรียบกับราคาคอนโดมิเนียมในต่างประเทศ ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ทำให้ชาวต่างชาติหันมาซื้อห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน ส่งผลต่อเนื่องให้ราคาห้องชุดในโครงการคอนโดฯปรับตัวสูงขึ้นกว่าปกติ " นายรัตน์กล่าวและว่า
สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทในปี 2551 นายรัตน์กล่าวว่า มีแผนที่จะออกหุ้นวงเงินประมาณ 2,000 ล้านบาทภายในไตรมาส 2 เพื่อนำเงินที่ระดมทุนได้ไปชำระหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2551 และบางส่วนจะนำไปจัดซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่
ทั้งนี้ ทางบริษัทคิวเฮ้าส์ฯมีแผนที่จะเปิดโครงการบ้านระดับบนในปี 51 ประมาณ 11 โครงการ มูลค่ารวม 22,700 ล้านบาท ได้แก่แบรนด์ลัดดารมย์ จำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการลัดดารมย์ Elegance เกษตรนวมินทร์ มูลค่า 1,570 ล้านบาท , ลัดดารมย์ Elegance ราชพฤกษ์ พระราม 5 มูลค่า 2,920 ล้านบาท , ลัดดารมย์ ราชพฤกษ์ รัตราธิเบศร์ 2 มูลค่า 2,250 ล้านบาท และลัดดารมย์ ชัยพฤกษ์ แจ้งวัฒนะ มูลค่า 2,710 ล้านบาท
ในส่วนของบริษัท คาซ่า วิลล์ จำกัด บริษัทในเครือคิวเฮ้าส์ ได้กำหนดแผนเปิดโครงการใหม่ แยกเป็นบ้านเดี่ยวแบรนด์ คาซ่า วิลล์ ได้แก่ โครงการคาซ่า วิลล์ ราชพฤกษ์ รัตนาธิเบศร์ 2 มูลค่า 1,690 ล้านบาท , คาซ่า วิลล์ ราชพฤกษ์ แจ้งวัฒนะ มูลค่า 2,950 ล้านบาท , คาซ่า วิลล์ วัชรพล 3 มูลค่า 1,930 ล้านบาท , คาซ่า วิลล์ บางนา-สุวรรณภูมิ มูลค่า 1,150 ล้านบาท และ คาซ่า วิลล์ พระราม 2-3 มูลค่า 1,950 ล้านบาท
ส่วนโครงการทาวน์เฮาส์แบรนด์ คาซ่า ซิตี้ มี 2 โครงการ ได้แก่ คาซ่า ซิตี้ เอกมัย-รามอินทรา สุคนธสวัสดิ์ 2 มูลค่า 320 ล้านบาท และโครงการคาซ่า ซิตี้ เอกมัย-รามอินทรา นวลจันทร์ 2 มูลค่า 530 ล้านบาท
นอกจากนี้ ทางคิวเฮ้าส์ มีแผนจะเปิดตัวโครงการคอนโดฯ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการคิวเฮ้าส์ คอนโดมิเนียมสาทร เนื้อที่ 1 ไร่ จำนวน 354 ยูนิต มูลค่า 2,152 ล้านบาท , โครงการคาซ่า คอนโดฯ รัชดา-ท่าพระ มูลค่า 469 ล้านบาท และ โครงการคิวเฮ้าส์ คอนโดฯหลังสวน ซึ่งจะเป็นการปรับปรุงโครงการเดิมที่มีแผนจะทำเป็นโครงการเซ็นเตอร์พอย์ท
นายรัตน์ กล่าวถึงแนวโน้มรายได้ในปีหน้า จะมีรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 20-30% เมื่อเทียบกับรายได้รวมทั้งบริษัท ส่วนรายได้จากแบรนด์คาซ่า จะมีสัดส่วนเพิ่มจาก 45% มาเป็น 50% ในปี51 ส่วนแบรนด์บ้านหรูของคิวเฮ้าส์จะมีสัดส่วนมาอยู่ที่ 50%
" ในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 10,500 ล้านบาท ส่วนปี 2551 คาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 12,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 20% "นายรัตน์กล่าว
ส่วนแผนการขยายขนาดของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะมีการนำตึกเข้ากองทุนรวมอสังหาฯมูลค่ารวมอีก 3,000-3,500 ล้านบาท ได้แก่ อาคารเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 3 อาคาร คือ ที่เพชรบุรี ,สุขุมวิท ซอย 10 และ ศาลาแดง ส่วนอีก 2 อาคารจะเป็น อาคารสำนักงานให้เช่า คือ คิวเฮ้าส์สาทร ส่วนอีก 1 อาคารอยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าของที่ดิน เนื่องจากเป็นที่ดินเช่า
อย่างไรก็ตาม แผนการเพิ่มขนาดของกองทุนรวมฯนั้น คงจะต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการยกเลิกกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|