|

ลุ้นเฟดลดดบ.ดันหุ้นพุ่ง 24 จุด จับตาดคีปตท.นัดแรก
ผู้จัดการรายวัน(30 พฤศจิกายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดหุ้นไทยพุ่งกว่า 24 จุด หรือเกือบ 3% สอดคล้องตลาดหุ้นทั่วโลกที่เริงร่ารับข่าวเฟดจ่อลดดอกเบี้ยอีกครั้งเพื่อบรรเทาพิษซับไพรม์ ด้านโบรกเกอร์ชี้ตลาดหุ้นดาวโจนส์ยังกำหนดทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก แนะจับตาการพิจารณาคดีแปรรูปปตท.ของศาลปกครองสูงสุดนัดแรกวันนี้ ย้ำชัดพื้นฐานไม่เปลี่ยน ขณะที่บล.ธนชาต เชื่อปี 51 ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนตลอดทั้งปี
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (29 พ.ย.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งวันตามตลาดหุ้นต่างประเทศหลังนักลงทุนเริ่มมั่นใจต่อท่าที่ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ในการแก้ไขปัญหาซับไพรม์ โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ระดับสูงสุดของวันที่ 844.80 จุด เพิ่มขึ้น 24.28 จุด หรือเพิ่มขึ้น 2.96% ขณะที่จุดต่ำสุดระหว่างวันอยู่ที่ 832.01 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขาย 22,309 .07 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 88.27 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,047.51 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,959.25 ล้านบาท
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ UOBKH กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงซึ่งเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับ 2% หลังจากที่นักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนในประเทศได้คลายความกังวลในปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำของสหรัฐอเมริกา (ซัพไพรม์)และจากการที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในวันที่ 11 ธันวาคม 2550
ทั้งนี้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมีฯ โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นบริษัท ปตท. จำกัด (จำกัด )มหาชน หรือ PTT ถึง 10 บาทเนื่องจากเข้าใจว่าการพิจารณาของศาลปกครองในวันนี้เป็นเพียงการพิจารณารอบแรก ในขณะที่พื้นฐานของปตท.นั้นไม่เปลี่ยนแปลง โดยราคาเหมาะสมของ PTT ในปีหน้าอยู่ที่ 400 บาทต่อหุ้น ขณะที่หุ้นบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANBU ปรับตัวขึ้น 20 บาท เนื่องจากมีการเข้ามาเก็งกำไรเกี่ยวกับผลดีจากการนำบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียช่วงเดือนหน้า
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อแต่จะมีความผันผวนจากการที่วานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง โดยมองแนวรับที่ระดับ 835-837 จุด แนวต้านที่ระดับ 851-853 จุด
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามเทคนิค จากที่ผ่านมาราคาหุ้นได้มีการปรับตัวลงมาแรง จากการเทขายของนักลงทุนต่างประเทศที่ขายหุ้นออกมาทั่วโลกทั้งเดือนพฤศจิกายน และคาดว่าในเดือนธันวาคม คาดว่านักลงทุนต่างประเทศจะเริ่มขายสุทธิลดลงเนื่องจากใกล้ช่วงวันหยุดคริสต์มาส
"นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นออกมาแล้ว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับรอบที่ผ่านมาที่มีการขายสะสม 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งใกล้ถึงจุดที่จะชะลอการขาย เพราะขายออกมาแล้วจนไม่มีหุ้นขาย จึงอาจต้องกลับเข้ามาซื้อ" นายอดิศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องจับตาในวันนี้ปตท.ว่าศาลฯจะมีการพิจารณาอย่างไร ซึ่งออกมาในทิศทางที่บวกราคาหุ้นก็จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 10-20 บาท แต่หากออกมาในทิศทางลบก็จะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยจากการที่ปตท.มีน้ำหนักต่าตลาดหุ้นไทยถึง 10% โดยมองแนวรับที่ระดับ 836 จุด แนวต้นที่ระดับ 852 จุด
ชี้ดัชนีแตะ1,000จุดยาก
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดหุ้นดาวโจนส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมา โดยการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาและในอนาคตคงขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก นักลงทุนที่จะเข้าลงทุนต้องพิจารณาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงของตลาดหุ้นต่างประเทศประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าในปีหน้าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากกว่าในปีนี้ซึ่งก็จะส่งผลตามมาถึงตลาดหุ้นทั่วโลกตามไปด้วย โดยผลจากเรื่องดังกล่าวจะทำให้ตลาดหุ้นไทยในปีหน้าจะเคลื่อนไหวผย่างผันผวนต่อเนื่องจากปีนี้
"นักวิเคราะห์หลายคงยังมองในแง่ดีว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีไปแตะระดับ 1 พันมีโอกาสเป็นไปได้ แต่ในแง่ของผลกระทบที่เกิดจากปัญหาซับไพรม์ที่น่าจะรุนแรงกว่าปีนี้ทำให้ส่วนตัวเชื่อว่าอาจจะเป็นไปได้ยาก โดยดัชนีจะเคลื่อนไหวอย่างผันผวนมากขึ้นในปีหน้า"นายแสงธรรมกล่าว
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงมากกว่าที่คาด ซึ่งประเด็นหลักมาจากปัจจัยต่างประเทศ จากการที่เฟดน่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนหน้า และปัญหาซัพไพรม์เริ่มที่จะนิ่งแล้ว และจากการที่ซิตี้กรุ๊ป ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันขนาดใหญ่ได้มีการขายตราสารซีดีโอออกไปจำนวนมาก ซึ่งทำให้ผลกระทบของปัญหาซัพไพรม์จะมีทิศทางที่ดีขึ้น
"ตลาดหุ้นในภูมิภาคก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในระดับ 2% จากการที่มองว่าเฟด จะลดอัตราดอกเบี้ย และปัญหาซัพไพรม์เริ่มที่จะนิ่งแล้ว "นายเจริญกล่าว
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|