|

เคเอฟซีจ่อขึ้นราคาปี51เพิ่มรายได้ชดเชยต้นทุน
ผู้จัดการรายวัน(29 พฤศจิกายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
เคเอฟซี จ่อคิวปรับราคาปีหน้านี้ หลังกัดฟันแบกรับภาระต้นทุนแป้ง น้ำมันพืชพุ่งไม่ไหว โอดสมรสุมเศรษฐกิจพ่นพิษ คนไทยกินอาหารฟาสต์ฟูดลดลง ผลประกอบการปีนี้ต่ำกว่าเป้าหมายโต 20% ประกาศแผนปีนี้ทุ่มงบ 500 ล้านบาท ลุยขยายสาขา 27 แห่ง อัดฉีดงบการตลาด 300 ล้านบาท สู้ศึกกระแสสุขภาพมาแรง ส่งเมนูใหม่ "ไก่กรอบการ์ลิค"กระตุ้นยอด 20% โค้งสุดท้าย
นางแววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล ผู้ อำนวยการฝ่ายการตลาด - เคเอฟซี บริษัท ยัม เรสเตอรองสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของธุรกิจอาหารบริการด่วน เคเอฟซี เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯ มีแผนที่จะปรับราคาสินค้าขึ้น เนื่องจากปัจจุบันต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตมีแนวโน้มราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งน้ำมันพืช และแป้ง นอกจากนี้บริษัทยังต้องเพิ่มความถี่ในการออกเมนูใหม่ให้มากขึ้น โดยในปีนี้เปิดตัวใหม่ไป 9 เมนู คาดว่าปีหน้าจะเพิ่ม เป็น 12 เมนู ซึ่งจะเน้นประเภทอาหารรับประทานเล่น เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น เป็นหลัก
พร้อมกันนี้ ในปี 2551 บริษัทได้ทุ่มงบ 500 ล้านบาท เพื่อขยายสาขา 27 แห่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็น ในเขตกรุงเทพฯ 50% และต่างจังหวัด 50 % โดยปัจจุบันเคเอฟซีมีทั้งหมด 314 แห่ง ส่วนงบการตลาดไว้ที่ 300 ล้านบาท ผ่านการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างครบวงจร ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อสร้างการรับรู้และขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ และกระตุ้นความถี่ในการรับประทานมากขึ้น อีกทั้ง บริษัทยังมุ่งเน้นทำบัคเก็ตอย่างต่อเนื่อง เพราะมีกลุ่มคนที่ชอบสะสม โดยคาดว่าจะทำบัคเก็ต 4 ครั้งต่อปี
ล่าสุดได้ทุ่มงบ 20 ล้านบาท เปิดตัวเมนู ใหม่ "ไก่กรอบการ์ลิค" ไก่กรอบนอก นุ่มใน รสกระเทียมพริกไทย เพื่อต้อนรับเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปลายปีนี้ โดยเมนูใหม่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ จนถึง 3 มกราคม 2551 ทั้งนี้ จากการเปิดตัวเมนูใหม่คาดว่าจะกระตุ้นยอดขายให้มีอัตราการเติบโต 20% เนื่องจากมั่นใจว่าลูกค้าจะหันมาทดลองเมนูใหม่ถึง 50% ส่วนอีก 50% ทดลองเมนูเก่า อย่างไรก็ตามจากในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ซึ่งนับว่าฤดูกาลขายสินค้าคาดว่ายอดขายของเคเอฟซีจะมีอัตราการเติบโต 10%
นางแววคนีย์ กล่าวว่า ผลพวงจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจที่หดตัวลง และปัญหาการเมือง ตลอดจนราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง และมีพฤติกรรมระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ดังนั้นผลประกอบการของเคเอฟซีในปีนี้จึงมีอัตราการเติบโตเพียง 20% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะเติบโต 30% อย่างไรก็ตามแม้ว่ายอดขายจะต่ำกว่าเป้าหมาย แต่เคเอฟซียังคงเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจ อาหารบริการด่วน ที่มีมูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาท ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 50%
ทั้งนี้ โดยเฉลี่ยใน 1 ปี เคเอ ฟซีสามารถมียอดขายประมาณ 60 ล้านชิ้น โดยไก่กรอบจะมียอดขายมากที่สุด คือ 70% ตามด้วยไก่นุ่ม 30% ส่วนการใช้จ่ายเฉลี่ยของลูกค้าอยู่ที่ 70 บาทต่อคนต่อครั้ง เติบโตจากปีที่ผ่านมา 10% ซึ่งลูกค้าหลักของเคเอฟซีจะเป็นกลุ่มครอบครัว 60% คนทำงาน 20% และวัยรุ่น 20% ในขณะที่ยอดขายจากลูกค้าที่ทานในร้านยังคงมากกว่า กลุ่มลูกค้าดิลิเวอรี่ หรือกลุ่มที่ซื้อกลับไปทานที่บ้าน ที่มีสัดส่วน เพียง 10% ของยอดขายทั้งหมด
อย่างไรก็ตามสำหรับกลุ่มลูกค้าดิลิเวอรี่นั้น ยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด ที่เชื่อว่าความต้องการยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าพฤติกรรมของลูกค้าในขณะนี้ ยังไม่กล้าที่จะโทรสั่งซื้ออาหารฟาสต์ฟูดมารับประทานที่บ้านมากกว่า ดังนั้นเคเอฟซีจึงต้องดำเนินการตลาดในเชิงรุกมากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้า กลุ่มลูกค้าดิลิเวอรี่ในตลาดต่างจังหวัดจะมีอัตราการเติบโต 15-20%
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|