|
"ซับไพรม์"พ่นพิษหนักสุดปี51Q1เงินนอกดันหุ้นทะลุพันจุด
ผู้จัดการรายวัน(29 พฤศจิกายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
บล.ไทยพาณิชย์ ชี้ผลกระทบซับไพรม์ปี 51 รุนแรง เหตุดอกเบี้ยสินเชื่อกู้บ้านปรับเพิ่มขึ้น ยอดหนี้สูญพุ่ง กดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว บวกกับเงินไหลออกจากนักลงทุนทิ้งบอนด์สหรัฐฯ ขนเงินเข้าตลาดหุ้นเอเชีย ด้านบล.บัวหลวง ลั่นตลาดหุ้นไทยขาลงลากยาวถึงเลือกตั้ง ก่อนจะเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/51 หนุนดัชนีตลาดหุ้นครึ่งปีแรกแตะ 1,146 จุด กำไรบจ.โต 25% ด้าน "เผดิมภพ"เผยอนาคตหุ้นอิงการเมืองดับสนิท ขณะที่ภาคธุรกิจหวั่นคนไทยเสพติดประชานิยมจากรัฐบาลชุดก่อน
วานนี้ (28พ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด จัดสัมมนาเรื่อง "จับกระแสการเงินโลกในปี 2008" โดยมีวิทยากรประกอบด้วย นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไทยพาณิชย์ จำกัด นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด และนายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ. วรรณ ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศจะยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในแถบเอเชีย จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ที่จะยังคงมีข่าวในแง่ลบออกมาอีก และจะยังไม่จบลงง่ายๆ โดยจะมีผลกระทบรุนแรงในปีหน้าที่อัตราดอกเบี้ยการเปล่อยสินเชื่อกู้บ้านจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้มีผู้ที่กู้เงิน ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้และถูกยึดบ้านมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาบ้านในอเมริกามีการปรับตัวลดลงได้อีก 13-14%
ทั้งนี้ ตราสารทางการเงินที่อ้างอิงกับซับไพรม์มีการถูกลดอันดับลง ส่งผลให้ผู้ที่ถือครองตราสารดังกล่าวมีผลขาดทุน และจากการที่ค่าเงินดอลลาร์จะมีการอ่อนค่าลงอีกมาก จึงทำให้ความเสี่ยงในอเมริกามากขึ้น นักลงทุนมีการลดการถือครองเงินสกุลดอลลาร์ออกมา ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทและค่าเงินสกุลเอเชีย มีการแข็งค่าขึ้น จึงทำให้เม็ดเงินการลงทุนไหลเข้ามาในประเทศแถบเอเชีย แต่เชื่อว่าจะไหลเข้ามาไม่มากจากได้รับแรงกดดันจากปัญหาซับไพรม์
สำหรับราคาน้ำมันในปีหน้าคาดว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้ที่สูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทำให้ทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเคมี อิเล็กทรอนิกส์ ประมง รวมทั้งยังมีผลกระทบทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 3% จากปีนี้ที่ 2%
"จากการที่ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นก็จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมที่นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ เช่น เหล็ก ปิโตรเลียม ก่อสร้าง เครื่องจักร เพราะทำให้ต้นทุนต่ำลง โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบคือ อาหาร สินค้าเกษตร ยางพารา จากที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก"
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 4.5% จากปีนี้ที่ 4.2% แต่เชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจน่าจะออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ เพราะการเติบโตในช่วงไตรมาส 3/50 มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น จากปีนี้ที่จะทรงตัว โดยมองว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือนธ.ค.นี้ จะคงอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ คาดว่าอัตราการเติบโตกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 15% หลังจากในปีนี้การเติบโตของกำไรสุทธิบจ.อยู่ในระดับที่ต่ำ รวมถึงการที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีการตั้งสำรองทางบัญชีจำนวนมาก
ฟันธงหุ้นพุ่งหลังเลือกตั้ง
นายเผดิมภพ กล่าวว่า เม็ดเงินต่างชาติที่จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียต่อเมื่ออัตราผลตอบแทนการลงทุนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอีก 0.5% หรืออยู่ที่ 3.4% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.9% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงอีก 0.5% จะทำให้นักลงทุนระยะยาวที่ได้มีการเข้าไปลงทุนในพันธบัตรจากปัญหาซับไพรม์ มีการขายออกมาเพื่อหาแหล่งทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า คือ การลงภูมิภาคอื่นหรือตลาดเกิดใหม่ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และจากที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิน้อยลง คาดว่าจะมีแรงขายพันธบัตร 10 ปี ออกมาในช่วงไตรมาส 1/51
ดังนั้น จึงทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่มีการเลือกตั้งไปแล้ว โดยเชื่อว่าดัชนีในช่วงครึ่งปีแรกจะอยู่ที่ 1,146 จุด ซึ่งมีค่า P/E 12 เท่า และคาดอัตราการเติบโตกำไรสุทธิของบจ.เพิ่มขึ้น 25% โดยหุ้นกลุ่มถ่านหินจะมีกำไรเติบโตสูง จากที่ประเทศจีนจะมีการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จากที่ปีนี้มีการกันสำรองตามมาตรฐานบัญชีที่สูง
สำหรับ หุ้นกลุ่มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าจะเป็นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ อุปโภคบริโภค น้ำมัน ถ่านหิน ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองนโยบายภาครัฐฯ สัมปทานต่างๆจะไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง สื่อสาร เนื่องจากมีการประเมินว่ารัฐบาลใหม่จะมีวาระการบริหารประเทศเพียง 2 ปีเท่านั้น จึงทำให้ภาคเอกชนยังไม่กล้าที่จะลงทุน
ส่วนภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นก่อนการเลือกตั้งนั้น นายเผดิม-ภพ กล่าวว่า อยู่ในทิศทางขาลงจากเม็ดเงินต่างประเทศยังไม่ไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มจากปัญหาซับไพรม์ และเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนระยะยาวของไทยมีการขายหุ้นไทยเพื่อที่จะเข้าไปลงทุนในพันธบัตร เพราะล่าสุดอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 1 ปี อยู่ที่ 3.6% ซึ่งสูงกว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่ 3.5% แต่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงไม่มาก จากที่นักลงทุนสถาบันยังคงซื้อสุทธิ เพราะนักลงทุนรายย่อยหันเข้าไปลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพเพิ่มขึ้น
คนไทยเสพติดประชานิยมชุดก่อน
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองกรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย เปิดเผยในงานเสวนา “เศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง จะรุ่งโรจน์ หรือร่วงโรย” วานนี้ (28 พ.ย.) ว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้า คงจะฝากความหวังกับรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ เนื่องจากเป็นรัฐบาลผสม ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบทั้งจากค่าเงินบาท ราคาน้ำมัน การฟื้นความเชื่อมั่นภาคประชาชน จะทำได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีหน้า คาดว่าไม่น่าเติบโตเกินปีนี้ที่ระดับ 4.0-4.5%
นายวิชัย ศรีประเสริฐ อดีตนายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่าง-ประเทศ กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง คงไม่ได้มีผลต่อเศรษฐกิจไทยมากเท่าใด เนื่องจากพรรคการเมืองที่มาจัดตั้งรัฐบาลจะยังคงใช้นโยบายประชานิยมเข้ามาทำงาน
“ ทุกวันนี้คนไทยเสพติดนโยบายประชานิยมจากรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจประเทศ เพราะถ้าดูจากประวัติศาสตร์ พบว่าประเทศไหนใช้ประชานิยม เจ๊งทุกราย ไม่ว่าจะเป็นอาร์เจนติน่า ชิลี แต่ต้องใช้กลไกตลาดเข้ามาทำงาน” นายวิชัย กล่าว
นายพายัพ พยอมยนต์ อดีตรองเลขาธิการสำนักงานคณะ-กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. ) กล่าวคาดว่า เศรษฐกิจปี2551จะทรงตัว แต่จะดีกว่าปีนี้เล็กน้อย โดยอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 4% แม้จะสูงกว่าปี 2550 แต่เป็นอัตราที่รับได้ เพราะไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตร และส่งออกรายใหญ่ของโลก ขณะที่สถาน-การณ์ราคาน้ำมันเชื่อว่า ในที่สุดกลุ่มโอเปกจะต้องเพิ่มกำลังการผลิต ไม่เช่นนั้นหลายประเทศจะหันไปใช้พลังงานทดแทน ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อกลุ่มโอเปก
อย่างไรก็ตาม ปีหน้าราคาน้ำมัน น่าจะอยู่ที่ระดับ 80-85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ค่าเงินบาทโดยรวมจะอยู่ระดับ 33 บาท/เหรียญสหรัฐ แต่สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งดำเนินการคือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยและสร้างระบบพื้นฐาน เพื่อลดต้นทุน โดยเฉพาะการจัดระบบลอจิสติกส์
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|