พ่อค้าพืชไร่อย่างประยูร พลพิพัฒนพงศ์ ที่ร่ำรวยเงียบๆ จากกิจการ "หจก.พีพรอสเพอร์"
ไม่ต่ำกว่า 23 ปีที่เขาค้าหัวหอม กระเทียม และพริกจากเมืองเชียงใหม่ส่งออกไปขายยังต่างประเทศ
เป็นคนที่ LOW PROFILE มากๆ ประยูรเป็นคนจีนแต้จิ๋วแซ่เซียว เกิดที่เมืองขอนแก่น
แต่มาโตที่กรุงเทพ และทำการค้าขายพืชไร่ที่เชียงใหม่จนเป็นผู้นำในนาม "บริษัทเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์"
หรือเครื่องหมายการค้า "CM" ที่ตลาดญี่ปุ่นยอมรับคุณภาพ
บริษัทเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างตระกูลพลพิพัฒน์พงศ์
ผู้ถือหุ้นใหญ่ 51% กับไต้หวันและญี่ปุ่นก่อตั้งในปี 2531 ด้วยทุนแรกเริ่ม
50 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจส่งออกผักผลไม้แช่แข็ง เช่น ถั่วแระ ถั่วแขก
แครอทและสตรอเบอรี่ โดยมี "บริษัทไตเยา" ที่รวมเอาสี่โรงงานยักษ์ใหญ่ผู้ส่งออกผักและผลไม้แช่แข็งแห่งไต้หวันซึ่งถือหุ้น
30% ทำหน้าที่ดูแลด้านการผลิตและ "บริ-ษัทซี.อีโต้ แอนด์ โก" ซึ่งเป็นบริษัทการค้า
ที่มีเครือข่ายในญี่ปุ่น ถึง 760 แห่งถือหุ้น 19% ดูแลการทำตลาดหลักที่ญี่ปุ่น
"ซี.อีโต้กับเราเป็นคู่ค้ากันมานานประมาณ 7-8 ปีแล้ว โดยเขามาซื้อหัวหอมจากเรา
ส่วนผู้ร่วมทุนชาวไต้หวันนี้ทาง ซี.อีโต้แนะนำมาให้รู้จักกับเรา แต่ละคนก็มีจุดแข็งและความชำนาญคนละด้านของไทยเราก็ได้เปรียบตรงที่เรามีวัตถุดิบป้อนโรงงานสม่ำเสมอขณะที่ไต้หวันก็มีโนว์ฮาว
ระบบ I.Q.F ใช้กับอุตสาหกรรมผักผลไม้แช่แข็ง และญี่ปุ่นก็มีความชำนาญด้านเครือข่ายการตลาด"
ประยูรกรรมการผู้จัดการบริษัทเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์เล่าให้ฟังถึงจุดแข็งของบริษัทฯ
การช่วงชิงโอกาสความได้เปรียบทางธุรกิจที่บริษัทเชียงใหม่โฟรเว่นฟูดส์ได้ผู้ร่วมลงทุนที่แข็งแกร่งเช่นนี้
ได้สร้างให้บริษัทกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมส่งออกผักผลไม้แช่แข็งของไทยนับตั้งแต่ตั้งบริษัทในปี
2531 และเริ่มส่งออกในปี 2533 มียอดขาย 72.5 ล้านบาทต่อมาในปี 2534 บริษัทสามารถทำรายได้สูงถึง
201.6 ล้านบาทหรือประมาณ 42% ของมูลค่าส่งออกผักแช่แข็งทั้งหมด 467.3 ล้านบาท
"ตอนแรกๆ เราส่งออกไปโดยยังไม่รู้ทิศทาง เป็นระยะการศึกษา พอปีที่สองเรารู้ว่าเราจะส่งออกอะไรที่จะทำตลาดได้มากๆ
รายได้เราจึงถีบตัวขึ้นจากที่ตั้งไว้ ดังนั้นในปีที่สามคือปี 2535 นี้ เราตั้งไว้ว่าจะมีรายได้
270 ล้านบาท แต่คิดว่าคงจะได้ต่ำกว่าประมาณการบ้าง เพราะมีปัญหาพันธุ์ถั่วแระที่จะขยายไม่เพียงพอกับความต้องการ
แต่อัตราเติบโตของรายได้ก็คาดว่าจะโตประมาณปีละ 25% และขยายกำลังผลิตให้ได้ถึง
13,000 ตันในอีก 2 ปีข้างหน้า" ประยูรเล่าให้ฟังถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้
จากโครงสร้างการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเพื่อส่งออกได้ปีละ 10,000 ตันปรากฏว่าในปี
2534 ถั่วแขกมีสัดส่วนการขายสูงที่สุดถึง 17.6% ของทั้งหมดและถั่วแขกมีอัตรากำไรสูงกว่าผลิตผลตัวอื่นๆ
ขณะที่ถั่วแระเป็นอันดับที่สองคือ 19.92% ทั้งนี้เนื่องจากตลาดความต้องการบริโภคในญี่ปุ่นสูงมากถึง
200,000 ตัน ชาวญี่ปุ่นนิยมทานถั่วแขก ถั่วแระแกล้มเบียร์สุรา
ประยูรได้เล่าถึงกลยุทธ์ผูกผู้ค้าชาวญี่ปุ่นทั้งหมดไว้กับมือว่า จะมีลักษณะเป็นลูกโซ่ที่ทำให้การกระจายสินค้าไปได้รวดเร็วและเข้าเป้าหมาย
ช่องทางการจัดจำหน่ายแบ่งเป็นสองช่องทาง
หนึ่ง ระบบขายตรงแก่ลูกค้าประเภทห้างสรรพสินค้าซุปเปอร์มาร์เกตต่างๆ ในญี่ปุ่นเช่น
TAIYO GYOGYO, KABUSHIKI KAISHA, SERIA FOODS, CHUO SHOKUHIN, THE DAIEINICHIREI
CORP., KANNGAWA CONSUMERS, FUJI TRADING ฯลฯ ซึ่งทางเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์จะผลิตให้ในบรรจุภัณฑ์ที่มีชื่อต่างๆ
ตามแต่จะสั่งสัดส่วนตลาดประเภทแรกนี้จะมากถึง 65% ของยอดขายรวม
สอง ระบบขายผ่านตัวแทนจำหน่ายโดยผ่านทางบริษัทซี.อีโต้ แอนด์ โก เป็นจำนวน
35% ของยอดขาย
ช่องทางการจำหน่ายทั้งสองนี้ ทางเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์จะจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้แก่ตัวแทนในอัตรา
3% ของยอดขาย นอกจากนี้บริษัทยังทำส่งเสริมการขายด้วยการให้ส่วนลด 3-5% สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อปริมาณมากหรือทำสัญญาระยะยาว
6-12 เดือน ทั้งนี้ราคาของบริษัทจะตั้งราคาขายสูงกว่าต้นทุนประมาณ 15-25%
แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมส่งออกฯ นี้ก็คือความไม่แน่นอนของวัตถุดิบหรือคุณภาพไม่ได้มาตรฐานปัญหานี้
ประยูรเล่าให้ฟังว่าบริษัทได้ทำเป็นอุตสาหากรรมการเกษตรครบวงจร ที่สามารถควบคุมคุณภาพได้ทุกขั้นตอน
ตั้งแต่การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์และปุ๋ยให้เกษตรกรเพาะปลูกประกันราคารับซื้อ
ผลิตและแปรรูปจนถึงขั้นตอนการส่งออก
"รายได้ตอบแทนเกษตรกรในโครงการของเราน่าพอใจความจริงการปลูกถั่วนี้เป็นผลพลอยได้จากพื้นที่ทำนาปลูกข้าวแต่ปรากฎว่า
รายได้เฉลี่ยต่อไร่เขาได้ปีละ 9,000-12,000 บาทขณะที่ขายข้าวได้ไม่ถึงไร่ละ
3,000-4,000 บาท"
ความจูงใจด้านผลตอบแทนสูงเช่นนี้ ทำให้ปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกผลผลิตของบริษัทมีถึง
20,000 ไร่ที่คลอบคลุม 8 จังหวัดคือ เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ น่าน ลำปาง
พะเยา ลำพูนและแม่ฮ่องสอน โดยมีโรงงานที่ถนน เชียงใหม่-พร้าว อ.สันทรายเป็นศูนย์กลางแหล่งผลิตวัตถุดิบ
เนื่องจากอุตสาหกรรมผักผลไม้แช่แข็งเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาล
บริษัทเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์จึงได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก บี โอ ไอ ได้รับสิทธิยกเว้นเครื่องจักรและภาษีเงินได้ถึง
7 ปี โดยมีอีกสองรายที่ได้รับการส่งเสริมคือ บริษัทยูเนี่ยนฟรอสท์และบริษัท
THAI TOPY PROCESSING ที่มีกำลังผลิตรวมเท่ากับ 13,200 ตัน ใกล้เคียงกับเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์
แต่คู่แข่งที่น่ากลัวของเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์คือไต้หวันที่เป็นเจ้าของตลาดครองส่วนแบ่งในตลาดญี่ปุ่นสูงสุดในขณะที่ประเทศอื่นๆ
ในอาเซียนเช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย มักส่งออกในรูปของสด แต่คู่แข่งที่กำลังมาแรงจนน่าจับตาในอนาคตก็คือ
สาธารณรัฐประชาชนจีนและเวียดนาม
"ตอนนี้ไต้หวันประสบปัญหาค่าเงิน ปัญหาที่ดินราคาแพงขี้น ทำให้พื้นที่เพาะปลูกน้อยลง
และค่าแรงงานที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ความสามารถ ในการแข่งขันในตลาดโลกลดลง
เราก็คิดว่า นี่คือปัจจัยที่จะเอื้อให้สินค้าเรามีโอกาสขยายตัวในญี่ปุ่นได้มาก"
ประยูรกล่าวถึงสาเหตุของการเคลื่อนย้ายทุนจากได้หวันมาไทย ที่ทำให้เชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์มีศักยภาพเติบโตได้
จากแนวโน้มตลาดอันสดใสนี้เองการเพิ่มทุนเป็น 125 ล้านบาทจึงได้เกิดขึ้นกลางปี
2534 เพื่อขยายงานการผลิตจาก 10,000 ตันเป็น 13,000 ตันและขยายพื้นที่ห้องเย็นจาก
2,500 ตันเป็น 4,000 ตันซึ่งใช้เงินประมาณ 55 ล้านบาทในการก่อสร้างและซื้อเครื่องจักร
เนื่องจากผักผลไม้มีลักษณะเป็น SEASONAL PRODUCT ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมและกุมภาพันธ์-มีนาคม
จะเก็บเกี่ยวผลิตผลเช่นถั่วแขก ถั่วแระได้มากและนำเข้าสู่ระบบการผลิต ช่วงเวลาจำกัดนี้จึงทำให้ผลผลิตส่วนเกินต้องนำไปเก็บแช่แข็งไว้ห้องเย็นด้วยระบบ
FLUIDISED BED FREEZER หรือที่รู้จักกันดีว่าระบบ I.Q.F
วิธีการในการระดมทุนในส่วนที่เพิ่มนี้ ประยูรได้นำเอาบริษัทเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทรับอนุญาตในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยกระจายหุ้นจำนวน 2 ล้านหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป ในราคาเสนอขายหุ้นละ 40 บาท
"เงินที่ได้จากการขายหุ้น 80 ล้านบาทนี้ ส่วนหนึ่งเรามีโครงการจะขยายกำลังผลิตขยายพื้นที่ห้องเย็น
เรามั่นใจว่าการดำเนินงานในปี 2536-38 นี้ อัตราขยายตัวจะเพิ่มปีละ 25% และเงินอีกส่วนหนึ่งเราจะมาใช้คืนเงินกู้ระยะยาว
13.82 ล้านบาท และอีกส่วนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน" ประยูรเล่าให้ฟัง
ปัจจุบันกิจการที่ประยูรดำเนินการอยู่มี 5 แห่ง คือ หจก.พี พรอสเพอร์ บริษัทสยามอาหารและห้องเย็น
บริษัทขนมปัง เอ เอ บริษัท ไทยฟังซึ่งส่งออกกุ้งแช่แข็ง และบริษัทสยามส่งเสริมการเกษตร
โดยมีประภาส พลพิพัฒนพงศ์น้องชายเป็นผู้ช่วยบริหารกิจการคนสำคัญอีกคนหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้การเกิด "บริษัทเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์" นี้จึงเป็นก้าวกระโดดของประยูรและครอบครัวตระกูล
"พลพิพัฒน์พงศ์" สู่ประตูการค้าระหว่างประเทศที่ใช้กลยุทธ์การร่วมทุนกับไต้หวัน
และญี่ปุ่นทำให้อาณาจักรธุรกิจของตระกูลนี้แผ่ขยายกว้างออกไปสู่การแข่งขันอันดุเดือดบนเวทีการค้าโลก
!!