ปิคนิคฯหนี้ท่วมเงินสดตลท.ฟันหวั่นกระทบงบ


ผู้จัดการรายวัน(28 พฤศจิกายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ตลท.ไม่ไว้ใจสั่งแขวน "H" หุ้น PICNI ห่วงหากเจ้าหนี้ตั๋วแลกเงินมูลหนี้รวม 140 ล้านบาทยึดทรัพย์กระทบการดำเนินงานของบริษัท หลังงบไตรมาส3/50 บริษัทมีเงินสดแค่ 98 ล้านบาท "ภัทรียา"ย้ำหากมีการชี้แจงข้อมูลเป็นเท็จไม่รอดทีมกฎหมายแน่ ด้านปิคนิคฯ แก้เกี้ยวแจงมูลหนี้กว่า 568 ล้านบาทอยู่ระหว่างการเจรจาเจ้าหนี้ และอีกหลายคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ขณะที่ดิ้นลงบันทึกเป็นภาระหนี้ตั๋วแลกเงินทั้งหมดสิ้น 30 ก.ย. 50

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ตามที่บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PICNI ได้ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าของ เจ้าหนี้ตั๋วแลกเงินที่อยู่ระหว่างยึดทรัพย์และบังคับคดีมูลหนี้ 140 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย มูลหนี้ 90 ล้านบาท บริษัทแจ้งว่าเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2550 ศาลยกคำร้องเนื่องจากบริษัทไม่หาหลักประกันมาวางต่อศาลตามกำหนด และคู่กรณีจะดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์สิน ซึ่งบริษัทแจ้งว่าจะดำเนินการเจรจาประนอมหนี้กับคู่กรณี ในขณะที่มูลหนี้ 50 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการบังคับคดี และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าหนี้

ทั้งนี้ จากข้อมูลในงบการเงินไตรมาสที่ 3 สิ้นสุด 30 ก.ย.50 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 98 ล้านบาท ซึ่งการถูกยึดทรัพย์และบังคับคดีจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงิน และสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องของบริษัท

อย่างไรก็ตามตลาดหลักทรัพย์จึงขึ้นเครื่องหมาย "H" (Halt) หลักทรัพย์ของ PICNI สำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์ของวันที่ 27 พ.ย. 50 จนกว่า PICNI จะสามารถชี้แจงถึงแนวทางดำเนินการ ความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของกิจการหากถูกยึดทรัพย์และยังสั่งห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของ PICNI โดยขึ้นเครื่องหมาย SP จนกว่าบริษัทจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวครบถ้วน ทั้งนี้หากบริษัทดังกล่าวชี้แจงไม่ตรงต่อความเป็นจริง ก็มีกฎหมายดูแลเรื่องนี้อยู่

นายสุเทพ อัคควุฒิไกร กรรมการผู้จัดการ บมจ.ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงความคืบหน้าในเรื่องของเจ้าหนี้ตั๋วแลกเงิน ว่า หนี้เงินกู้ของสถาบันแห่งหนึ่ง มูลหนี้ 50 ล้านบาท ในส่วนของคดีล้มละลายศาลพิพากษายกฟ้องคดีล้มละลาย เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 49 ขณะที่คู่กรณียื่นอุทธรณ์ วันที่ 6 มี.ค. 50 และบริษัทได้แก้อุทธรณ์วันที่ 2 เม.ย. 50 ล่าสุดปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฏีกา

ในส่วนของคดีแพ่ง ศาลพิพากษาให้บริษัทชำระ 50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 5% ของ 48ล้านบาท ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 2 ต.ค.49 บริษัทยื่นอุทธรณ์แต่เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 49 ศาลไม่รับอุทธรณ์เนื่องจากบริษัทชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ไม่ทันตามกำหนดเวลา ด้านคู่กรณีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฏีกาเมื่อวันที่ 2 ต.ค. 49 ให้ PICNI ชำระ 50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 5% ของ 50 ล้านบาทและยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ปัจจุบันยังไม่ได้รับการติดต่อจากศาล และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าหนี้

ด้านหนี้สถาบันอีกแห่งหนึ่ง มูลหนี้ 90 ล้านบาท คำสั่งของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับคดีแพ่งเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 49 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บริษัทชำระ 90 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 5% ของ 90 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 49 บริษัทได้ยื่นอุทธรณ์โดยศาลรับอุทธรณ์ พร้อมยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 49 บริษัทยื่นคำแก้อุทธรณ์คำสั่งของศาลที่ไม่อนุญาตให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของคู่กรณี ฉบับลงวันที่ 17 พ.ย.49

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 49 คู่กรณียื่นคำแถลงคัดค้านการขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์ของ PICNI ฉบับลงวันที่ 22 ก.ย. 49 และยื่นคำขอออกหมายบังคับคดีต่อศาล โดยเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 49 ศาลมีคำสั่งเห็นควรให้งดการบังคับคดีไว้รอฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ในเรื่องของการทุเลาการบังคับคดีของบริษัทยังไม่ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ยกคำขอ

อย่างไรก็ตามในวันที่ 17 พ.ย. 49 คู่กรณีอุทธรณ์คำสั่งของศาลที่ไม่อนุญาตให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีฉบับลงวันที่ 17 ต.ค. 49 ต่อจากนี้วันที่ 13 ธ.ค. 49 คู่กรณียื่นคำแก้อุทธรณ์คัดค้านอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นของปิคนิคฉบับลงวันที่ 22 ก.ย. 49 ศาลมีคำสั่งรับแก้อุทธรณ์ของคู่กรณีในวันที่ 15 ธ.ค.49 และวันที่ 5 มิ.ย. 50 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้บริษัทหาหลักประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นพร้อมดอกเบี้ยมาวางไว้กับศาลอุทธรณ์ โดยบริษัทได้เสนอหุ้นสามัญของบริษัทแห่งหนึ่งเป็นหลักประกัน

อย่างไรก็ตามศาลได้มีคำสั่งไม่รับหุ้นสามัญของบริษัทดังกล่าวเป็นหลักประกัน และให้บริษัทหาหลักประกันใหม่มาวางไว้กับศาลอุทธรณ์ และจะพิจารณาหลักประกันใหม่ในวันที่ 26 พ.ย.50

นายสุเทพ กล่าวอีกว่า กรณีมูลหนี้ 74 ล้านบาทจองกองทุน 3 กองทุนศาลชั้นต้นเกี่ยวกับคดีแพ่งพิพากษาให้บริษัทชำระเงินรวมประมาณ 74 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 5% ของ 74 ล้านบาท ต่อมาบริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ทั้ง 3 คดี ระหว่างเดือนมีนาคม - เมษายน 2550 โดยศาลรับอุทธรณ์ทุกคดี

ทั้งนี้ ความคืบหน้าของคดีแพ่งยังไม่มีการบังคับคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาหลักประกัน ขณะที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับเจ้าหนี้

ในส่วนของหนี้ 296 ล้านบาทของกองทุน 6 กองทุน ขณะที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับเจ้าหนี้

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้บันทึกภาระหนี้ตั๋วแลกเงินทั้งหมด ทั้งที่เป็นคดีและไม่เป็นคดี ณ วันที่ 30 ก.ย.50 รวมเป็นเงินต้น 510 ล้านบาทและดอกเบี้ยค้างจ่าย 58 ล้านบาท รวม 568 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.