คาดปีหน้าเศรษฐกิจไทยยังหืดจับ


ผู้จัดการรายวัน(27 พฤศจิกายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

เศรษฐกิจไทยปี 51 เผชิญปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศรุมเร้า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาน้ำมัน แนวโน้มค่าเงินบาทแข็งอีกระลอก ส่งออกชะลอตัว หวังรัฐบาลชุดใหม่เรียกความมั่นใจผู้บริโภคและนักลงทุน กู้จีดีพีโต 5% นายกส.การตลาดฯ แนะ”Red Ocean” เป็นอีกทางเลือกในยุคเศรษฐกิจฝืด “เซเรบอส” ระบุปีหน้าสู่ยุคปัจเจกบุคคล แมสมาร์เก็ตติงหมดยุค การตลาดเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสบการณ์

ดร.ปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในงานวันนักการตลาดแห่งประเทศไทย เรื่อง RED OCEAN กำชัยชนะ...เหนือทะเลแดงเดือด โดยได้กล่าวถึงหัวข้อเรื่องทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีหน้านี้ว่า จะเผชิญกับปัจจัยภายนอกประเทศมากกว่าจะเป็นปัจจัยภายใน เนื่องจากการเมืองภายในประเทศได้รัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ

โดยปัจจัยภายนอกที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ประกอบด้วย ประการแรก แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีหน้านี้จะขยายตัว 4.5% เมื่อเทียบกับปีนี้ 4.6% อีกทั้งยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวเศรษฐกิจของอเมริกา จากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์และปัญหาซับไพรม์ ที่จะส่งผลกระทบต่อสาขาอื่นๆ ตลอดจนปัญหาการขาดดุล ความเชื่อมั่นนักลงทุน

ปัจจัยภายนอกประการที่สอง คือ แนวโน้มของราคาน้ำมันในปีหน้ายังอยู่ระดับสูงกว่าปีนี้ หากโอเปกไม่เปลี่ยนแปลงโควต้าการผลิต ซึ่งขณะนี้ราว 86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลฯ และผลพวงจากราคาน้ำมัน มีผลทำให้ราคาสินค้ามีแนวโน้มจะเพิ่มราคาขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาน้ำมันจะเริ่มลดลงในช่วงกลางปีหน้านี้

ส่วนปัจจัยที่สาม คือ อัตราแลกเปลี่ยนในตลาดโลก ทั้งนี้คาดว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 3-4% จากปัจจุบัน 33 บาทต่อดอลลาร์ฯ ตลอดจนเศรษฐกิจคู่ค้าขยายตัวช้า การแข่งขันรุนแรงจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นโอกาสที่ภาคธุรกิจส่งออกในปีหน้านี้จะมีอัตราการเติบไม่ถึง 16-18% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตในปีนี้

เศรษฐกิจไทยในปีหน้านี้จะมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดีแม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยง โดยมีการประมาณการณ์ว่าปีหน้าจีดีพีโต 5% เมื่อเทียบกับปีนี้โต 4-4.5% การเมืองและรัฐบาลใหม่สร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคและนักลงทุน การเกิดโครงการเมกะโปรเจกต์ ฐานรายได้ปรับเพิ่มขึ้น โดยผู้รับราชการเพิ่มขึ้น 10% คิดเป็นมูลค่า 4,000 ล้านบาท รายได้เกษตรกรอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์

ขณะที่เงินทุนไหลเข้ายังเพิ่มขึ้น และช่วยชดเชยการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้โดยรวมดุลการชำระเงินเกินดุล ส่วนอัตราการว่างงานไม่เกิน 2% ส่วนปัจจัยลบมาจากราคาน้ำมันและแนวโน้มเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น 2.5-3% จากในช่วง 9 เดือน เงินเฟ้ออยู่ที่ 2%

ภาครัฐ-เอกชนพาเหรดลงทุนปี51

ดร.ปรเมธี กล่าวว่า ในปีหน้านี้การลงทุนจากภาคเอกชนจะฟื้นตัว จากการมีโครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมลงทุนในปีนี้ โดยเฉพาะการลงทุนประเภทเครื่องจักรเนื่องจากกำลังการผลิตใกล้เต็ม อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ ปิโตรเคมี ส่งผลให้มีการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ปีนี้การลงทุนภาคเอกชนลดลงเป็น 1% เมื่อเทียบกับปี 2549 เป็น 3.9% โดยปัจจัยที่สนับสนุนด้านการลงทุนมาจาก อัตราดอกเบี้ย ความเชื่อมั่นดีขึ้นจากการเลือกตั้ง นอกจากนี้ภาครัฐยังมีการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์สำคัญในปีหน้านี้อีกหลายโครงการ อาทิ โครงการรถไฟฟ้า หลังจากที่รัฐชะลอการลงทุนมาจากในปี 2549 จาก 4.5% เป็นเหลือ 3% ในปีนี้

“RedOcean”กลยุทธ์สู้เศรษฐกิจฝืด

นายสมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี การมุ่งเน้น Blue Ocean หรือการมุ่งหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ อาจจะไม่ได้เป็นคำตอบเสมอไปสำหรับนักการตลาด เนื่องจากในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการทดลองสินค้าใหม่ๆ ดังนั้นจึงอยากให้มุ่งเน้น Red Ocean หรือการอาศัยความเชี่ยวชาญ พัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้น

สำหรับในปีหน้านี้ต้องดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับคืนมา ทั้งจากภาครัฐผลักดันโครงการเมกะโปรเจกต์ ซึ่งจะมีผลทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว เพราะขณะนี้คนไม่มีเงินแต่ไม่นำมาใช้จ่าย ส่วนแนวโน้มน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น เชื่อว่าผู้บริโภคน่าจะปรับตัวได้แล้ว อย่างไรก็ตามหากธุรกิจจะดำเนินการให้มีผลกำไรมากขึ้น จะต้องปรับองค์กรให้มีประสิทธิภาพควบคู่กับการลดต้นทุน ขณะที่สินค้าที่มาแรงและไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ก็ตาม คือ กลุ่มเพื่อความงาม

ชี้เทรนด์ตลาดเปลี่ยนสู่ยุคปัจเจกบุคคล

ดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานกรรมการบริหาร ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในหัวข้อถอดรหัสพฤติกรรมผู้บริโภคว่า ในปีหน้านี้เป็นยุคแห่งปัจเจกบุคคล ดังนั้นจึงหมดยุคของการทำแมส มาร์เก็ตติง โดยผู้บริโภคจะไม่ยึดเหนี่ยวสิ่งเก่าๆ สนใจการดูแลตัวเองมากขึ้น มีการเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วทำให้วงจรสินค้าสั้นลง อีกทั้งยังสนใจคุณภาพสินค้ามากกว่าปริมาณ และพร้อมที่จะจ่ายเงินเพิ่ม ต้องการสินค้าที่ผลิตสดใหม่จากธรรมชาติ ฉลากสินค้าอ่านเข้าใจง่าย ซึ่งเป็นยุคที่คืนสู่สามัญ

ดังนั้น ในยุคนี้การตลาดจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสบการณ์เท่านั้น จากนี้ไปนักการตลาดจะต้องมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ อาทิ การเปิดโชว์รูมพิเศษ สร้างประสาทสัมผัสทั้งทุกส่วนของร่างกาย ขณะที่กลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจและสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดได้เป็นอย่างดี คือ การสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เนื่องจากเป็นยุคที่ผู้บริโภคมีความเกรงกลัวโรคภัยไข้เจ็บ การก่อการร้าย ความปลอดภัยด้านอาหาร


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.