ตลท.โชว์กลยุทธ์เชิงรุกดึง27บจ.ไซด์3แสนล.ผนึกตลาดหุ้นอาเซียน


ผู้จัดการรายวัน(21 พฤศจิกายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ตลท.เปิดกลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่งให้ตลาดทุนไทย ชูภาพลักษณ์องค์กรต้องโปร่งใส เล็งดึงตลาดหุ้นในภูมิภาคผนึกกำลังเพิ่มความน่าสนใจให้กลุ่มตลาดทุนอาเซียน พร้อมตั้งเป้าดึงบจ.ใหม่ระดมทุนปีหน้าอย่างต่ำ 27 บริษัทมาร์เกตแคปกว่า 3 แสนล้านบาท เปรยมีบิ๊กไซด์มากกว่าหมื่นล้านถึง 5 บริษัท ขณะที่เตรียมเจาะฐานนักลงทุนทั้งเยาวชน คนทำงาน และวัยเกษียร พร้อมหาสินค้าใหม่เพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ เล็งจัดสัมมนาให้พรรคการเมืองประชันแผนพัฒนาตลาดทุนต้นเดือนหน้า

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในปีหน้าว่า การปรับเปลี่ยนของตลาดทุนโลกในอนาคตทำให้ตลท.ต้องเร่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรเพื่อให้พร้อมกับการแข็งขัน รวมทั้งการพัฒนาให้ตลาดทุนกลายเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมด้วยบุคลากรที่มีความสามารถเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุน

ทั้งนี้กลยุทธ์ในการเสริมสร้างองค์แบ่งเป็น 3 กลยุทธ์หลักได้แก่ กลยุทธ์ด้านการสร้างความแข็งแกร่งขององค์กร ทั้งในเรื่องการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันขององค์กรให้ทัดเทียม Global marketplace รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถและมีความพร้อมสำหรับองค์กรที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้กลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพ เช่นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ ผู้ลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในขณะเดียวกัน จะขยายฐานผู้ลงทุนโดยการเปลี่ยน พฤติกรรมการลงทุนเพื่อนำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมการลงทุนของคนไทย รวมทั้งการเพิ่มประเภทสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สำหรับกลยุทธ์การสร้างการยอมรับจากผู้เกี่ยวข้อง จะเน้นการทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม การลดต้นทุนเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรทั้งในส่วนของสมาชิกบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ นักลงทุน ฯลฯ ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างมีแข็งขันค่อนข้างมากในปัจจุบัน ตลท.จะมีการตรวจสอบการคิดค่าธรรมเนียมในเรื่องต่างๆเทียบกับตลาดทุนในต่างประเทศเพื่อคำนวณ

37บจ.ใหม่มาร์เกตแคป3แสนล.

นายวิเชฐ ตันติวาณิช รองผู้จัดการตลท. กล่าวว่า เป้าหมายบริษัทจดทะเบียนที่จะเข้ามาระดมทุนปีหน้าใน SET มีจำนวน 25 บริษัท โดยเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) สูงกว่า 10,000 ล้านบาท ขณะที่เป็นบริษัทที่มีมาร์เกตแคปอยู่ระหว่าง 1,000 - 10,000 ล้านบาทจำนวน 10 บริษัท และบริษัทที่มีมาร์เกตแคปต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทอีก 10 บริษัท ส่วนบริษัทจะเข้าจดทะเบียนใน mai มี 12 บริษัทมาร์เกตแคปเฉลี่ยประมาณ 500 ล้านบาท

นอกจากนี้เป้าหมายในการเพิ่มจำนวนนักลงทุนปีหน้าตลท.ตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนทางตรงจำนวน 25,000 รายและนักลงทุนที่ลงทุนผ่านกองทุนจำนวน 75,000 ราย ซึ่งจะทำให้จำนวนนักลงทุนในปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 1.96-2 ล้านรายจากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.8 ล้านราย หรือคิดเป็น 3% เมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรทั้งประเทศ

"มีบริษัทที่เตรียมยื่นไฟลิ่งปีนี้อีกประมาณ 20 บริษัทแบ่งเป็นเข้า SET ประมาณ 12-15 บริษัทและเข้า mai ประมาณ 5 บริษัท ขณะที่มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นเฉลี่ยต่อวันในปีหน้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 17,500 ล้านบาท เป็น 22,000 ล้านบาทต่อวัน"นายวิเชฐกล่าว

ทั้งนี้การเพิ่มจำนวนนักลงทุนแนวทางหนึ่งคือการประสานงานกับบริษัทหลักทรัพย์และธนาคารพาณิชย์เพื่อให้มีการเปิดสาขาย่อยให้มีมากขึ้นโดยตั้งเป้าเพิ่มจากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 30 แห่งเป็น 70 แห่งในปีหน้า รวมทั้งการเร่งสรุปข้อเสนอของบริษัทสมาชิกเกี่ยวกับการเสนอให้มีการเแก้ไขกฎเกณฑ์ในบางเรื่องเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงานให้มีมากขึ้น

ในส่วนของการประเมินพีอีเรโช ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายสนใจแม้ว่าเรื่องดังกล่าวตลท.จะไม่ได้มีการตั้งเป้าไว้ แต่จากค่าพีอีในปัจจุบันซึ่งอยู่ในระดับประมาณ 16 เท่า แต่หากคำนวณตามหลักสากลที่มีการนำบริษัทจดทะเบียนที่แม้ว่าจะมีผลการดำเนินงานขาดทุนมาคำนวณค่าพีอีเรโชในปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 20 เท่า ซึ่งในปีหน้าตลท.จะปรับเปลี่ยนการคำนวณมาใช้ให้เป็นมาตรฐานสากลซึ่งจะทำให้ค่าพีอีของตลาดหุ้นสูงขึ้น

เล็งรวมตลาดทุนอาเซียน

นางนงราม วงษ์วานิช รองผู้จัดการตลท. กล่าวถึงงานในเรื่องการสร้างความน่าเชื่อถือและการยอมรับรวมถึงการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศว่า ตลท.มีแนวคิดที่จะรวมตลาดหุ้นในอาเซียน โดยอาจจะมีการคัดเลือกบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดีของแต่ละตลาดหุ้นเข้ามารวมกันเพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้สะดวกมากขึ้น

ทั้งนี้ การสร้างความเชื่อมั่นรวมถึงการสร้างเครือข่ายพันธมิตรจากการสร้างความร่วมมือและข้อตกลงต่างๆระหว่างหน่วยถือว่าเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างมากในอนาคต

นอกจากนี้การสร้างระบบเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความเป็นธรรม ทั้งในส่วนของหน่วยงานที่ดูแล และบริษัทจดทะเบียนโดยในเรื่องดังกล่าวจะพิจารณาควบคู่กับการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในไทยถือว่าเข้มงวดกว่าในหลายประเทศค่อนข้างมาก

"เรามีแนวคิดในการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนตลาดทุนในรัฐบาลหน้า ซึ่งจะมีตัวแทนจากกระทรวงการคลัง แบงก์ชาติ ก.ล.ต.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมกำหนดนโยบายในการพัฒนาตลาดทุน"นางนงรามกล่าว

อย่างไรก็ตามการขับเคลื่อนตลาดทุนถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญในรัฐบาลชุดหน้า ตลท.จึงได้มีการติดต่อตัวแทนพรรคการเมืองเพื่อร่วมนำเสนอนโยบายในการพัฒนาตลาดทุนไทยหากได้จัดตั้งรัฐบาล โดยจะมีการนำเสนอนโยบายในช่วงต้นเดือนหน้า

ลุยเพิ่มนักลงทุนทุกวัย

นายพันธ์ศักดิ์ เวชอนุรักษ์ ประธานระบบการศึกษาตลาดทุน เปิดเผยว่า กลยุทธ์กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุน และนำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมการลงทุนของคนไทย จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มวัยทำงาน กลุ่มวัยก่อนเกษียณ และกลุ่มวัยเกษียณ สำหรับกลุ่มวัยทำงาน จะเปิดตัวโครงการ Employee Joint Investment Program : EJIP โดยการจัดอบรมหลักสูตรการวางแผนทางการเงิน เพื่อให้ความรู้แก่กลุ่มคนวัยทำงานและส่งเสริมให้มีการลงทุนในหลักทรัพย์ฯ ของบริษัทจดทะเบียน

นอกจากนี้ จะมีโครงการให้ความรู้กลุ่มวัยก่อนและหลังเกษียณทั้งในกทม.และต่างจังหวัด และจัดกิจกรรมที่จะทำให้กลุ่มดังกล่าวสามารถเข้าถึงข้อมูลและช่องทางการลงทุนได้สะดวก รวมทั้ง จะผลักดันให้มีการออกแนวทางการกระจายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปหรือ IPO เพื่อให้การกระจายหุ้นสามารถเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง ซึ่งจะสร้างโอกาสและช่องทางการเข้าถึงการลงทุนในตลาดทุนของประชาชนเพิ่มขึ้นด้วย

เร่งสร้างศักยภาพตลาดทุน

นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย กรรมการและผู้จัดการ บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดูแลกลยุทธ์การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯจะปรับองค์กรให้มีความพร้อม โดยการพิจารณาถึงโครงสร้างการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและคล่องตัวในการดำเนินงานมากขึ้นตระหนักถึง Value Chain และ เชื่อมโยงต้นทุนและรายได้ เพื่อกำหนดโครงสร้างค่าธรรมเนียม หรือการจัดเก็บค่าบริการต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ ได้มีแผนที่จะนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อธุรกรรมการซื้อขายจากจุดเดียว (Trading System Integration) มีกระบวนหลังการซื้อขายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือเป็นอัตโนมัติมากขึ้น (Post Trade Automation) รวมถึง การพัฒนาระบบการกำกับดูแลการซื้อขายให้สามารถครอบคลุมทุกตราสาร และเชื่อมโยงกันได้ (Inter-Market Surveillance)

หาสินค้าใหม่เพื่อทางเลือก

นายสุภกิจ จิระประดิษฐกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการเพิ่มประเภทสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในปี 2551 ว่า นอกจากความต้องการของลูกค้าแล้ว จะคำนึงถึงโอกาสทางธุรกิจของการออกสินค้าใหม่ด้วย โดยในปีหน้า มีแผนการออกสินค้าใหม่ ได้แก่ Stock Options, TCR (Transferable Custody Receipt) และการออกตราสารที่ใช้ดัชนีหลักทรัพย์อ้างอิง เช่น FTSE SET Index series โดยจะมีการแบ่งจัดดัชนีทั้งในส่วนของบริษัทขนาดใหญ่ บริษัทขนาดกลาง และขนาดเล็ก

นอกจากนี้ ยังมีบริการใหม่ อาทิ Repo Front system รวมทั้งจะมีการปรับลดระยะเวลาการส่งมอบและชำระราคาจากภายในวันทำการที่ 3 เป็นภายในวันทำการที่ 2


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.