"สหศีนิมาทิ้งโรงหนังจับวิทยุ"


นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2535)



กลับสู่หน้าหลัก

และแล้วความฝันของสหศีนิมาที่จะมีสำนักข่าวอิสระทัดเทียมหน้าตาต่างชาติก็บรรลุผล หลังจากที่สหศีนิมาใช้ความพยายามปลุกปั้นนานถึง 3 ปี

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้ ความอยากรู้อยากเห็นหรือการบริโภคข่าวสารของคนไทยเริ่มพัฒนามาได้ถึงระดับหนึ่ง การตื่นตัวในการติดตามข่าวสารมีมากขึ้นแต่การรับรู้โดยการอ่านหนังสือก็ยังมีสถิติเท่าเดิม

สหศีนิมาจึงได้ฉกฉวยโอกาสของการพัฒนาพฤติกรรมความต้องการบริโภคข่าวสารของคนเมือง สร้างสื่อใหม่ขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการดังกล่าว โดยขั้นแรกจับกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางลงล่าง ด้วยการผลิตรายการ "ข่าวด่วนสหศีนิมา" ออกอากาศในบัสซาวน์โดยใช้ช่องสัญญาณ F.M. SCA และฝากสัญญาณคลื่นมาทางขสทบ. 102 เมกกะเฮิร์ท ซึ่งช่องสัญญาณดังกล่าวเจ้าของผู้ได้สัมปทานดำเนินงานคือโน๊ตโปรโมชั่น

ในช่วงนั้นบัสซาวน์เป็นของแปลกใหม่สำหรับผู้โดยสารรถประจำทางขสมก. ความสนใจในการฟังข่าวสารของกลุ่มเป้าหมายนี้มีต่างระดับมากมาย ไม่สามารถจับระดับความต้องการของคนฟังได้ อีกประการหนึ่งพนักงานขับรถขสมก. โดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับบัสซาวน์เท่าที่ควร พวกเขาเหล่านี้มักเปิดรายการหรือหมุนหาสถานีที่ตนเองต้องการ ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นการบังคับให้ผู้โดยสารฟังในสิ่งที่พนักงานขับรถต้องการจะฟัง

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความล้มเหลวของบัสซาวน์จึงเกิดขึ้น จนอาจเหมารวมได้ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งในหลายสาเหตุที่ทำให้ข่าวด่วนสหศีนิมาก็ไม่ประสบคามสำเร็จตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่นอกเหนือจากการขาดผู้สนับสนุนรายการ ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ทำให้สหศีนิมาไม่สามารถยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง

สหศีนิมามีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 90% และมีเอกชนรายย่อยหลายรายถือในสัดส่วนที่เหลือ

สหศีนิมาเคยมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีในวงการภาพยนตร์ แต่ ณ วันนี้สหศีนิมาหันหลังให้กับวงการภาพยนตร์โดยสิ้นเชิงแล้ว ซึ่งสหศีนิมาสร้างชื่อจากธุรกิจบริหารโรงภาพยนตร์ 2 แห่ง คือเฉลิมบุรีและเฉลิมกรุง ปัจจุบันทั้ง 2 โรงได้เปลี่ยนมือผู้บริหารไปแล้วในช่วงที่ยุคโรงหนังตกต่ำ สหศีนิมาจึงหันมาประกอบธุรกิจด้านการทำข่าวและการประชาสัมพันธ์ โดยงานใหญ่ที่รับผิดชอบในปีนี้คือ การประกวดนางงามจักรวาลก็ผ่านพ้นไปด้วยดี

เมื่อการผลิตรายการข่าวป้อนให้กับบัสซาวน์ในช่วงแรกไม่สำเร็จ สหศีนิมาจึงได้หันมาผลิตข่าวป้อนให้กับสถานีวิทยุต่างๆ จนเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการ อย่างไรก็ตามในแง่การตลาดแล้วถือว่าสหศีนิมาก็ยังล้มเหลวอยู่ดี เพราะรายการข่าวมีผู้สนับสนุนรายการเพียง 2 รายเท่านั้น คือ ปูนซีเมนต์ไทยและธนาคารไทยพาณิชย์ทำให้กิจการขาดทุนเดือนละประมาณ 100,000 บาทเลยทีเดียว

นักวิเคราะห์มองว่าการขาดทุนที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากขาดมือการตลาดที่ดี ทำให้ไม่สามารถหารายได้มาจุนเจือกิจการได้ แต่สหศีนิมาก็ยังคงเดินหน้าสู้งานข่าวต่อไป เนื่องจากการมองเป้าหมายในระยะยาวที่เริ่มจะเด่นชัดขึ้นในเร็วๆ วันนี้คือความต้องการในการรับฟังข่าวสารมากขึ้น ส่วนทางด้านเงินทุนก็มีความคาดหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

แม้ว่าสหศีนิมาจะประสบกับความล้มเหลวมาแล้ว แต่โดยที่เจ้าของสัมปทานเดิมคือ มีเดียพลัสก็เข้าชิงการประมูลร่วมด้วย ในที่สุดบริษัทในเครือแกรมมี่ และเรดิแอดคู่หูเก่าแก่ของมีเดียพลัสก็ได้หยิบชิ้นปลามันไปจัดรายการในตอนเช้าและช่วงเย็นตามลำดับ

หลังจากที่สหศีนิมาและมีเดียพลัสแพ้การประมูลสัมปทานของสถานีกรมประชาสัมพันธ์ทำให้ทั้ง 2 ค่ายเกิดมีความเห็นที่ตรงกันและสามารถเกื้อกูลกันในทางธุรกิจได้ สหศีนิมาจึงได้เข้าร่วมกับมีเดียพลัสเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ตั้งสำนักข่าวอิสระหรือมีชื่อเรียกว่า "ไอเอ็นเอ็น" ((INDEPENDENT NEWS NETWORK) ผลิตรายการข่าวป้อนให้เครือข่ายกระจายเสียงของมีเดียพลัสซึ่งได้มาทดแทนคลื่นเก่าที่เสียไปคือ F.M. 98 เป็นหลักเสมอมาและมีการปรับรูปแบบของข่าวให้น่าสนใจยิ่งขึ้น สหศีนิมาจึงเริ่มมีฐานะที่มั่นคงขึ้น

เมื่อไอเอ็นเอ็นเกิดขึ้นระหว่างการถือหุ้นของสหศีนิมาและมีเดียพลัสในสัดส่วน 60:40 สหศีนิมาจึงแบ่งแยกหน้าที่การทำงานของตนเองออกมา โดยให้ไอเอ็นเอ็นเป็นสำนักข่าวมีบทบาทด้านการบริหาร และหาข่าวในขณะที่สหศีนิมาทำลดบทบาทของตนเองเหลือเพียงงานประชาสัมพันธ์เป็นงานหลัก

หลังจากนั้นเป็นต้นมา การพยายามสานฝันสร้างสำนักข่าวอิสระ เพื่อการขายข่าวให้กับในประเทศและต่างชาติของสหศีนิมาก็ยิ่งแกร่งกล้าและเริ่มเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันไอเอ็นเอ็นได้ปรับปรุงทีมงานข่าวของตนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ด้วยการดึงนักข่าวมือดีในวงการทั้งจากสถานีช่อง 3 และหนังสือพิมพ์เข้าร่วมทีมงาน รวมนักข่าวทั้งหมด 22 คนโดยมีสนธิญาณ หนูแก้ว อดีตบรรณาธิการข่าวช่อง 3 เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเพื่อผลักดันให้โครงการสร้างสถานีข่าวสารบรรลุเป้าหมาย

ไอเอ็นเอ็นเป็นบริษัทในเครือของสหศีนิมาซึ่งสหศีนิมามีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือหุ้น จึงไม่ต้องอรรถาธิบายเลยว่าสายสัมพันธ์ใดที่มีส่วนช่วยให้ไอเอ็นเอ็นมีสัมพันธภาพที่ดีกับสายทหาร จนตั้งเป้าหมายที่จะช่วงชิงวิทยุกองพล 1 เข้ามาไว้เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตข่าวสารล้วนๆ

แต่งานนี้ไม่หมูอย่างที่ไอเอ็นเอ็นคิด เพราะต้องเผชิญหน้ากับแปซิฟิค อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น ซึ่งกำลังหาสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งใหม่ทำรายการประมาณเดียวกัน หลังจากรายงานข่าวสารการจราจรทางสถานีวิทยุ จส. 100 ประสบความสำเร็จ

ประเด็นที่มาแห่งความสนใจทั้งของสหศีนิมาและแปซิฟิคที่เล็งเป้าไปยังสถานีวิทยุกองพล 1 อย่างใจตรงกันว่าก็เพราะวิทยุกองพล 1 มีสถานีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศถึง 150 สถานี ซึ่งหากใครได้เข้าไปบริหารสถานีเหล่านี้ โอกาสที่จะขยายธุรกิจข่าวสารของตนให้ก้าวหน้าก็ยิ่งมีสูง

แปซิฟิคมีความต้องการสถานีวิทยุเครือข่ายใหม่ๆ มาก เพราะเหตุที่ว่าธุรกิจข่าวสารของตนเหลือเสาหลักเพียง จส. 100 เท่านั้น ส่วนช่อง 5 แปซิฟิคเหลือบทบาทเพียงการหาโฆษณา แต่ในส่วนของข่าวนั้นช่อง 5 ได้ดึงกลับไปรับผิดชอบเองเป็นเวลาหลายเดือนมาแล้ว

ด้านสหศีนิมามีความต้องการสถานีวิทยุของตนเอง เพราะยังไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของสัมปทานสถานีวิทยุของตนเอง ได้แต่อาศัยช่องทางรายการวิทยุของมีเดียพลัสเป็นช่องทางกระจายข่าวของตนเองเท่านั้น

ประกอบกับสนธิญาณมีความเชื่อมั่นว่าจากความสำเร็จของสถานีวิทยุจส. 100 นั้นนับเป็นการเปิดศักราชของการทำสถานีรายการข่าวล้วนๆ ในเมืองไทยได้อย่างประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับในต่างประเทศที่สถานีวิทยุกำลังตื่นตัวต่อการเป็นสถานีถ่ายทอดรายการเฉพาะด้าน ซึ่งแนวคิดนี้สหศีนิมามีความพร้อมที่จะทำนานแล้ว

สงครามช่วงชิงสถานีวิทยุเหมา 24 ชั่วโมงระหว่างผู้มีเงินทุนหนาอย่างสหศีนิมาแล้วผู้เชี่ยวชาญปฏิรูปรายการอย่างแปซิฟิคจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จนครั้งหนึ่งเคยมีความคิดเห็นที่ตรงกันว่าจะลงเอยกันด้วยมติรอมชอมของผู้บริหารทั้ง 2 ฝ่าย ว่าอาจจะร่วมจับมือทำงานด้วยกันได้ เมื่อต่างฝ่ายต่างมีเจตนารมย์ที่ใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ความไม่สงบในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้เป็นสนามที่พิสูจน์หลักการของแปซิฟิคผู้ดำเนินรายการจส. 100 ได้เป็นอย่างดี แปซิฟิคแสดงให้เห็นจุดยืนในการทำงานของเขาอย่างเด่นชัดในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละแนวทางคนละแนวความคิดกับสหศีนิมา สิ่งที่ปรากฏจึงได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้สหศีนิมาประกาศถอนตัวการร่วมงานกับแปซิฟิคในที่สุด

โอกาสทองเริ่มมาเยือนสหศีนิมาอีกครั้ง เมื่อพันธมิตรของมีเดียพลัสคือ พีเคแอดเวอร์ไทซิ่ง สามารถเหมาเวลาสถานีวิทยุจส. 94.5 ของทหารใส่พานมาให้ มีเดียพลัสจึงส่งต่อให้ไอเอ็นเอ็น สหศีนิมาจึงเริ่มเข้าไปมีบทบาททำรายการข่าวสารล้วนๆ อย่างที่ใจปรารถนาในชื่อสถานีว่า ALL NEWS STATION ตั้งแต่ 17 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป "ข่าวที่เราเสนอจะมีทุกประเภทรายงานสดจากสถานที่จริง การถ่ายทอดสดการประชุม การอภิปรายและการสัมมนาที่สำคัญโดยเฉพาะการประชุมของภาครัฐ การถ่ายทอดกีฬา บันเทิงคดี รายงานข่าวสาดผ่านดาวเทียมจากบีบีซี สถานีแห่งนี้จะเป็นแห่งแรกของเมืองไทยที่จะเป็นสถานีข่าวสาร 24 ชั่วโมง" สนธิญาณ หนูแก้ว กล่าวอย่างมั่นใจ

ก้าวต่อไปในการเป็นสำนักข่าวอิสระของสหศีนิมายังคงรุดหน้าต่อไป นอกเหนือจากการมีสถานีออกอากาศข่าวสารในประเทศเป็นจริงตามเป้าหมายแล้ว ไอเอ็นเอ็นก็ได้ให้ความสำคัญกับการขายข่าวสารของตนแก่ประเทศที่สนใจ ซึ่งมีหลายรายได้ติดต่อเข้ามาแล้ว อาทิ ญี่ปุ่น เขมร รวมทั้งการวางรากฐานสำนักข่าวในต่างประเทศ โดยได้เปิดศูนย์ข่าวต่างประเทศที่รัฐลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เป็นแห่งแรก

ศูนย์ข่าวแห่งนี้จะทำหน้าที่ส่งข่าวสารให้แก่ไอเอ็นเอ็นในไทย โดยรายงานข่าวและเหตุการณ์ที่สำคัญ รวมทั้งข่าวสารของคนไทยในอเมริกากลับมายังประเทศไทย

การเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่งในวงการวิทยุนับจากการปฏิวัติรายการข่าวของแปซิฟิคมาแล้ว ในคราวนี้สหศีนิมาถือว่าตนเองมีประสิทธิภาพเพียงพอและไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแปซิฟิคนัก อาจจะเป็นผู้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในแวดวงการทำธุรกิจเฉพาะด้านระลอกใหม่ก็ได้ เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.