กม.อนุรักษ์คุมเข้มโรงงาน ปี '35 ยิ่งประหยัดยิ่งได้โชค


นิตยสารผู้จัดการ( ธันวาคม 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

ปีหน้า...จะมีมิติใหม่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมไทย...!

ไพจิตร เอื้อทวีกุล ประธานคณะอนุกรรมการนโยบายพลังงาน กล่าวถึงทิศทางการพัฒนาธุรกิจน้ำมันของไทยเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมศกนี้ว่า พ.ร.บ.อนุรักษ์พลังงานคงจะนำมาประกาศใช้ได้ในปี 2535

พร้อมกันนี้ จะตั้ง "กองทุนอนุรักษ์พลังงาน" ด้วยวงเงินเริ่มต้นไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทจากกองทุนน้ำมัน เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และจูงใจให้ประหยัดการใช้เชื้อเพลิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีเครื่องจักร ช่วยในการเปลี่ยนอุปกรณ์ที่มุ่งประหยัดพลังงานเป็นพิเศษ

เพราะที่ผ่านมา การขยายตัวทางอุตสาหกรรมที่เป็นไปอย่างรวดเร็วไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี และยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในเกณฑ์สูงตลอดช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (ปี 2535-2539) ทำให้ต้องเพิ่มการใช้พลังงานมากขึ้นจนละเลยการประหยัดไป

จะเห็นว่า ตัวเลขการนำเข้าสินค้าจะเป็นน้ำมันเสียส่วนใหญ่ ในปี 2533 มูลค่านำเข้าน้ำมันสูงกว่า 60,000 ล้านบาท และแนวโน้มการใช้น้ำมันจะเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านลิตรต่อปี สาเหตุสำคัญเนื่องจากยังไม่มีการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ

ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จึงผลักดัน พ.ร.บ.อนุรักษ์ฯ ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อนำหนุนให้เกิดการปฏิบัติจริงในการประหยัดพลังงาน

พ.ร.บ.นี้ ได้กำหนดให้โรงงานทุกแห่งต้องมีเจ้าหน้าที่ควบคุมการใช้เชื้อเพลิงและต้องเป็นวิศวกรที่มีประสบการณ์ในโรงงานอย่างน้อย 3 ปี ซึ่งจะมีหน้าที่เก็บข้อมูลการผลิต รายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ใช้ และเสนอแผนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรายงานต่อกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทย์ฯ โดยในภาคปฏิบัติจะมีศูนย์อนุรักษ์พลังงานเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อดูว่าแต่ละโรงงานใช้พลังงานกันอย่างไร

แต่ละโรงงานจะถูกกำหนดให้ปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้เชื้อเพลิง ให้ลดการสูญเสีย และหมุนเวียนพลังงานกลับมาใช้ใหม่ ตลอดจนให้ประหยัดเป็นพิเศษในช่วง PEAK TIME คือ ช่วงเวลา 18.30 น. ถึง 21.30 น.

สำหรับตัวเครื่องจักรอุปกรณ์ตาม พ.ร.บ.อนุรักษ์ฯ จะส่งเสริมทั้งผู้ใช้และผู้ผลิต โรงงานใดที่เปลี่ยนอุปกรณ์จากไม่ประหยัดมาเป็นประหยัดพลังงานตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง นอกจากกระทรวงวิทย์ฯ จะลดภาษีนำเข้าอุปกรณ์ให้ 7-10% ตามข้อกำหนดเดิมแล้ว หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องยังจะช่วยสนับสนุนอีกทางหนึ่ง คือ โรงงานนั้นขอกู้เงินจากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมฯ หรือธนาคารต่าง ๆ เพื่อซื้ออุปกรณ์และวัสดุที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ได้อีกต่างหาก

ขณะเดียวกัน จะพิจารณาลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้ไม่เกิน 10% ของเงินลงทุนเป็นเวลา 5 ปีสำหรับโครงการลงทุนเหล่านี้ พร้อมทั้งให้เงินอุดหนุนโรงงานผู้ใช้และผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์ที่เน้นการประหยัดพลังงาน

เมื่อมีมาตรการส่งเสริมและสนับสนุน พ.ร.บ. ยังได้กำหนดมาตรการลงโทษผู้ฝ่าฝืนโรงงานที่ไม่ทำตามกฎหมาย จะถูกปรับตั้งแต่ 10,000 บาทถึง 50,000 บาท

ส่วนการประหยัดตามอาคารนั้น จะออกพระราชกฤษฎีกาคุมอาคาร ซึ่งจะกำหนดประเภท ขนาด และปริมาณการใช้พลังงาน ตั้งแต่การออกแบบอาคารที่จะมุ่งใช้สร้างด้วยวัสดุที่จะช่วยประหยัดพลังงานสำหรับภายในตัวอาคาร การใช้พลังงานไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศและทำความร้อน จะกำหนดมาตรฐานใหม่

เริ่มจากเครื่องปรับอากาศ จะให้ติดตั้งเทอร์โมสแตท ช่วยคุมการทำงานของเครื่อง เพราะการตั้งอุณหภูมิของเครื่องที่ต่ำเกินไปทำให้เปลืองไฟฟ้า จากข้อมูลของศูนย์อนุรักษ์ฯ พบว่า อุณหภูมิที่ตั้งต่ำลงทุกหนึ่งองศาเซ็นติเกรด ทำให้ต้องใช้ไฟฟ้าเพิ่มอีก 7%

โดยเฉพาะทางภาคราชการจะเจอปัญหานี้มากกว่าเอกชน เพราะจะใช้เครื่องปรับอากาศซึ่งมีอายุนับ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งควรจะเปลี่ยนมาใช้เครื่องใหม่ จะทำให้ช่วยประหยัดได้มากกว่าหรืออย่างตอนเที่ยง ถ้าปิดแอร์หนึ่งชั่วโมงก็จะช่วยประหยัดได้อีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติซึ่งมี อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีเป็นประธานโดยตำแหน่งกำลังจัดตั้งสำนักงาน DSM (DEMAND SIGN MANAGEMENT) ประกอบด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)

สำนักงานนี้จะมุ่งเน้นการใช้ไฟฟ้าของทุกกลุ่มให้ได้ประสิทธิภาพโดยเฉพาะ จะมีโครงการแนะนำสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมก็คือ หนุนให้เปลี่ยนใช้มอเตอร์ใหม่ที่ช่วยประหยัดไฟแทนของเก่า รวมถึงการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ผลิตมอเตอร์ชนิดประหยัดไฟ

การประเดิมที่มอเตอร์ก่อน เนื่องจากตอนนี้มีมอเตอร์ที่ใช้อยู่กว่าล้านตัวทั่วประเทศ ซึ่งโรงงานจะใช้ไฟเดินมอเตอร์ เพื่อใช้ขับปั๊ม พัดลม สายพานลำเลียง หรือคอมเพรสเซอร์ถึง 75%

แผนปฏิบัตินี้เป็นแผนระยะสั้นมีกำหนดเวลา 3 ปี จะใช้เงินประมาณ 700 กว่าล้านบาท ซึ่งจะลดการใช้ไฟได้ร่วม 140 ล้านหน่วย และประหยัดเงินโดยไม่ต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าอีกประมาณ 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากการศึกษาของ กฟผ. พบว่า ถ้าประชาชนใช้ไฟน้อยลง 1 กิโลวัตต์ จะประหยัดการลงทุนไปได้ 40,000 บาท ทางสำนักงานนโยบายพลังงานแห่งชาติจึงกำหนดให้สำนักงาน DSM เป็นผู้กำหนดวิธีในการประหยัดไฟฟ้ารูปแบบต่าง ๆ

นี่ยังไม่รวมไปถึงโครงการเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ โดยจะสนับสนุนให้ใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบประหยัด หรือกำหนดให้ตึกที่จะสร้างใหม่ใช้กระจกหน้าต่างแบบสะท้อนแสง

พ.ร.บ.อนุรักษ์ซึ่งกำหนดจะใช้ในปี 2535 นับเป็นกฎหมายที่ช่วยให้โรงงานใช้พลังงานอย่างประหยัดได้สิทธิประโยชน์และลดต้นทุนไปในตัว ส่วนใครที่ยังคงใช้พลังงานแบบสบาย ๆ ตามความเคยชินอย่างแต่ก่อน นอกจากจะต้องเพิ่มต้นทุนในการผลิตแล้ว ยังกลายเป็นคนล้าสมัย และผิดกฎหมาย

ทิศทางใหม่ที่เป็นจริงของการประหยัดพลังงานจะเริ่มต้นพร้อม ๆ กับการยกระดับของสำนักงานพลังงานแห่งชาติ (พช.) ขึ้นเป็นกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ซึ่งจะเป็นหน่วยงานสำคัญในการรณรงค์และฝึกอบรมแก่โรงงานร่วมแสนแห่งทั่วประเทศ เพื่อก้าวไปสู่การประหยัดพลังงานอย่างจริงจัง

ขณะที่ "ประเทศ สูตะบุตร" รองเลขาธิการ พช. เพิ่งจะก้าวขึ้นเป็นเลขาธิการแทนประพัทธ์ เปรมมณี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมศกนี้

ประเทศซึ่งเป็นวิศวกรลูกหม้อเก่าแก่ของ พช. จะเริ่มต้นตำแหน่งใหม่พร้อมกับสถานะของหน่วยงานที่สูงขึ้น และฝันใหม่กับเส้นทางการประหยัดพลังงานทุกรูปแบบที่จะเป็นรูปเป็นร่างและเป็นจริงเสียที

โรงงานที่พัฒนาตัวเองตลอดเวลาก็ถือว่าได้โชคจาก พ.ร.บ.นี้ไป และอุตสาหกรรมไทยจะได้ยกระดับไปสู่มาตรฐานการผลิตที่ดีขึ้น ส่วนใครที่ยิ่งใช้พลังงานมากก็ยิ่งต้องจ่ายแพง...!



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.