น้ำมันลาม ศก.ปีหน้าเผาจริง สินค้าขึ้นราคารับต้นทุนพุ่ง 10%


ผู้จัดการรายวัน(9 พฤศจิกายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ส.อ.ท.รวบรวมต้นทุนผลิต 35 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่าราคาน้ำมันดันต้นทุนเพิ่มเฉลี่ย 10% โดยสะท้อนจากต้นทุนน้ำมันเตาและดีเซล ขณะที่วัตถุดิบขยับแล้วคาดมีผลกดดันปรับราคาสินค้าปี 2551 สูงเหตุสิ้นปีแรงซื้อต่ำหลายรายการทำได้แค่ทยอยขึ้น หนุนรัฐอุ้มดีเซลรอบ 2 หลังทิศทางดีเซลแนวโน้มพุ่งสูงปลายปี “ปิยสวัสดิ์” เล็งลดเงินเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล 10-30 สต./ลิตร จันทร์นี้ ด้าน ปตท.เสือปืนไวขยับขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกทุกชนิดอีกลิตรละ 50 สตางค์วันนี้ ขณะที่นักวิชาการฟันธงให้ทำใจน้ำมันจะแพงต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า

นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการสายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สมาชิก ส.อ.ท.35 กลุ่มอุตสาหกรรมกำลังรวบรวมผลกระทบจากปัญหาน้ำมันแพงที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มแล้วเฉลี่ย 10% โดยมาจากต้นทุนหลักคือดีเซลและน้ำมันเตา ดังนั้น ภาระต้นทุนดังกล่าวบางส่วนจะถูกผลักไปยังราคาสินค้าที่ต้องปรับเพิ่มขึ้นในปี 2551 เนื่องจากช่วงสิ้นปีนี้การปรับเพิ่มราคาขึ้นของสินค้าทำได้ยากในบางรายการที่แรงซื้อค่อนข้างต่ำแต่บางรายการจะมีการทยอยปรับในช่วงสิ้นปีนี้

“ผลกระทบจากน้ำมันเตา ต่อต้นทุนผลิตที่นำไปใช้ในหม้อต้มน้ำในกระบวนการผลิตไฟ ประมาณ 3-4% ขณะที่น้ำมันดีเซลจะกระทบไปยังต้นทุนค่าขนส่งเฉลี่ย 5-6% ซึ่งต้นทุนค่าขนส่งจะคิดอยู่ในราคาสินค้าเฉลี่ย 12-15% แต่สิ่งที่ต้องติดตามคือวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศที่ค่าขนส่งหรือค่าเฟดจะบวกไปทันทีแล้วเมื่อผู้ผลิตต้องขนส่งผ่านไปยังผู้ใช้ก็จะมีปัญหาเพิ่มขึ้นอีก” นายธนิต กล่าว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม หรือ SMEs ที่มีอำนาจต่อรองค่อนข้างต่ำจะได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำมันแพงค่อนข้างสูง ดังนั้นเอกชนเห็นว่ารัฐอาจมีความจำเป็นต้องลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในส่วนของดีเซลลงอีกจากปัจจุบัน 40 สตางค์ต่อลิตรเพื่อเป็นจิตวิทยาสำหรับประชาชนทั่วไปเพราะดีเซลมีแนวโน้มจะต้องปรับเพิ่มขึ้นอีกเมื่อพิจารณาจากราคาตลาดโลกซึ่งจะส่งผลให้ดีเซลปีนี้เป็นราคาสูงสุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น

จ่อลดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ อีกรอบ

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ทางกระทรวงฯ เตรียมปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีกครั้งเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน โดยขอติดตามราคาน้ำมันในตลาดโลกอีก 1 วัน ซึ่งหากราคาน้ำมันยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันที่ 12 พ.ย.นี้จะประกาศปรับลดอัตราการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันทันทีโดยเฉพาะในส่วนของแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล

ทั้งสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกยังปรับตัวสูงขึ้นและมีความผันผวนสูง โดยล่าสุด ราคาน้ำมันดิบดูไบได้สูงขึ้นถึง 2.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อยู่ในระดับ 88.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในขณะที่ตลาดน้ำมันสิงคโปร์ เบนซิน 95 ปรับเพิ่มขึ้น 2.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 102 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และดีเซลปรับเพิ่มขึ้น 3.1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ในระดับ 108 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ประกอบกับนักวิเคราะห์คาดว่าอาจเห็นราคาน้ำมันดิบที่ทะลุเกิน 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะมีการลดอัตราเงินกองทุนน้ำมัน เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันในประเทศ แต่ราคาน้ำมันโลกที่ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันติดลบ จึงอาจมีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันได้ ตราบใดที่ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นไม่ลดลง ดังนั้นคนไทยยังมีทางเลือกในการใช้น้ำมันราคาถูกผ่านทางแก๊สโซฮอล์ (ต่ำกว่าเบนซิน 3.50 บาท/ลิตร) และไบโอดีเซล (ถูกกว่าดีเซลลิตรละ 1บาท)

สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วงนี้ เป็นผลมาจากปัจจัยด้านการจัดหาเป็นหลัก โดยแม้พายุจะพัดผ่านอ่าวเม็กซิโกไปแล้ว แต่การขุดเจาะรวมถึงการกลั่นน้ำมันในบริเวณนี้ยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้เต็มที่ สภาพอากาศที่แปรปรวนในทะเลเหนือทำให้บริษัทโคนอโคต้องหยุดการผลิตลงส่วนหนึ่ง การปิดลงของท่อส่งน้ำมันที่ถูกลอบวางระเบิดในเยเมน และปริมาณน้ำมันสำรองของอเมริกาได้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติ และความเสี่ยงของการเกิดสงครามระหว่างตุรกีกับกลุ่มกบฎเคิร์ก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การพิจารณาปรับลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งนี้อาจจะลดได้ 10-30 สต./ลิตร ซึ่งจะช่วยให้ผู้ค้าน้ำมันชะลอการปรับราคาขายปลีกของแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลออกไปได้อีก ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้ปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันลง 40 สตางค์/ลิตร ยกเว้นเบนซิน 95

วันนี้ราคาน้ำมันขึ้นลิตรละ 50 สต.

นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.จำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลทุกชนิดขึ้นอีก 50 สต./ลิตรในวันนี้ (9 พ.ย.) เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดได้ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาราคาน้ำมันในตลาดโลกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรับเพิ่มขึ้นถึง 60% แต่ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศมีการปรับเพิ่มขึ้นเพียง 20% ทำให้ ปตท.ต้องแบกรับภาระวันละ 55-60 ล้านบาท โดยปีนี้ ปตท.รับภาระขาดทุนไปแล้วจำนวน 3 พันล้านบาท

จากการปรับขึ้นราคาน้ำมันครั้งนี้ ทำให้เบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ 31.69 บาท เบนซิน 91 อยู่ที่ 30.89 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 28.19 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 27.39 บาท/ลิตร ดีเซลอยู่ที่ 28.64 บาท/ลิตร ไบโอดีเซล อยู่ที่ 27.64 บาท/ลิตร

นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันผันผวนสูงมาก ส่งผลให้ผู้ใช้รถหันมาเติมแก๊สโซฮอล์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีราคาถูกกว่าเบนซินถึงลิตรละ 3.50 บาท ทำให้ยอดขายแก๊สโซฮอล์ของ ปตท.ในช่วง ต.ค.ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านลิตร เติบโตขึ้น 20% ทำให้มีความต้องการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นจาก 5 ล้านลิตร เป็น 6 ล้านลิตรต่อเดือน สามารถช่วยแบ่งเบาแก้ปัญหาเอทานอลล้นตลาด และลดการนำเข้าน้ำมันเกือบ 2 พันล้านบาทต่อปี

เตือนน้ำมันราคาสูงถึงปีหน้า

นายเทียนไชย จงพีร์เพียร นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า ราคาน้ำมันยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นตลอดสิ้นปีนี้และจะต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2551 เนื่องจากปัจจัยสำคัญมาจากความต้องการเพิ่มสูงขึ้นแต่การจัดหาหรือ ซัปพลายของโลกมีจำกัดจึงมีผลให้เกิดการเก็งกำไรจากเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ได้มากขึ้นจึงดันให้ราคาน้ำมันทรงตัวระดับสูงซึ่งจะมีระดับสูงไปอีกในช่วงฤดูหนาวเพราะความต้องการเพิ่มขึ้นซึ่งฤดูหนาวแท้จริงของสหรัฐและยุโรปจะเริ่มปลาย พ.ย.นี้

“เข้าฤดูหนาวจึงไม่มีเหตุผลว่าน้ำมันช่วงนี้จะลดลงได้มาก อย่างเก่งคงทรงตัวระดับนี้ไปเรื่อยๆ และจะไปลดอีกทีช่วงไตรมาส 2 ปีหน้าและปลายปีหน้าพอเข้าฤดูหนาวก็จะมาอีกเพราะยังไม่เห็นปัจจัยการผลิตใดๆ ที่จะเพิ่มขึ้นซึ่งหลายสำนักระบุว่าความต้องการปีหน้าอาจเพิ่มถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวันขณะที่กำลังการผลิตยังคงที่ และต้องจับตาค่าเงินเหรียญสหรัฐที่คาดว่าจะอ่อนค่าอีกก็จะยิ่งทำให้ราคาน้ำมันไม่มีเหตุผลจะลงมากเช่นอดีตที่ผ่านมาดังนั้นการลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อลดภาระประชาชนแท้จริงก็จะช่วยได้ไม่มาก” นายเทียนไชย กล่าว

น้ำมันดันพลังงานอื่นๆ พุ่งตาม

นายเทียนไชย กล่าวว่า สิ่งที่ไทยต้องระมัดระวัง คือ เมื่อราคาน้ำมันมีทิศทางที่สูงขึ้นได้ผลักดันให้ราคาพลังงานอื่นๆ ปรับตามไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเตา สูงตามไปด้วยขณะที่ไทยมีการจำกัดการผลิตไฟฟ้ากระจุกตัวที่ก๊าซธรรมชาติอย่างมากซึ่งการจัดหาระยะยาวจะเป็นอะไรที่น่าห่วงโดยเฉพาะ LNG เนื่องจากระบบการค้าไม่ได้เปิดกว้างเช่นน้ำมันเพราะต้องมีระบบคลัง และขนส่ง เป็นกรณีพิเศษและการซื้อขายต้องลงนามสัญญาระยะยาวที่ล่าสุด ปตท.เองก็ยังคงไม่สามารถจะหาแหล่งจัดหาได้ที่ชัดเจนขณะที่ราคากลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก

“ผมคิดว่าระยะกลาง 5-10 ปีจะต้องมองเรื่องถ่านหินไว้บ้าง และระยะยาว 15 ปีควรมองนิวเคลียร์เป็นทางเลือกวันนี้คนไทยปิดกั้นทางเลือกอื่นๆ หมดเราก็จะต้องยอมรับชะตากรรมค่าไฟที่จะแพงในอนาคตซึ่งน่าแปลกที่คนกลุ่มหนึ่งต้องการไฟแต่ไม่ต้องการโรงไฟฟ้าและประเทศไทยจะพัฒนาได้อย่างไรเพราะความต้องการก็เพิ่มขึ้นทุกปีอย่างน้อยก็ปีละ 2 โรงไฟฟ้าที่ต้องเกิดใหม่” นายเทียนไชย กล่าว

ปั๊มเล็กโอดยิ่งขายยิ่งเจ๊ง

นายสมภพ ธนะธีรพงศ์ นายกสมาคมผู้ค้าปลีกน้ำมัน กล่าวว่า ขณะนี้ปั๊มน้ำมันอิสระต้องทยอยปิดกิจการเนื่องจากค่าการตลาดติดลบซึ่งหลายปั๊มเลือกที่จะปิดดีกว่าขายขาดทุน นอกจากนี้ปั๊มอิสระก็ไม่สามารถที่จะเลือกขายพลังงานทดแทนอื่นๆ ได้ทั้งแก๊สโซฮอล์ และบี 5 เพราะผู้ค้าจะเลือกส่งน้ำมันให้เฉพาะที่เป็นดีลเลอร์ของตนเองเท่านั้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.