ปัจจัยลบถล่มตลาดทุนโลก-หุ้นไทยรูด21จุด


ผู้จัดการรายวัน(6 พฤศจิกายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ตลาดหุ้นทั่วโลกป่วนหลังผลกระทบซับไพรม์ไม่หยุด ล่าสุดซีอีโอ"ซิตี้กรุ๊ป"ประกาศลาออก ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงทรุดหนัก 5% หลังผู้นำรัฐบาลจีนประกาศต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนให้นักลงทุนไปลงทุนในต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นไทยรูด 21 จุดหลังฝรั่งกระหน่ำขายสุทธิกว่า 5.2 พันล้านบาท โบรกฯเตือนปัจจัยลบยังปกคลุมตลาดหุ้นเพียบ แนะนักลงทุนใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้นหรือเลี่ยงถือเงินสด

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (5 พ.ย.) ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงหลังมีแรงเทขายอย่างหนักโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ตอบรับการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นทั่วเอเชียหลังปรากฎข่าวในเชิงลบจากผลกระทบเกี่ยวกับปัญหาซับไพรม์ ที่ล่าสุดส่งผลทำให้ "ชาร์ลส์ พรินซ์" ซีอีโอของซิตี้กรุ๊ปประกาศลาออก ในขณะเดียวกันตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับผลกระทบจากกรณีที่นายกรัฐมนตรีจีน ประกาศจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการให้นักลงทุนจีนออกไปลงทุนในต่างประเทศซึ่งอาจทำให้การออกไปลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงเลื่อนออก โดยดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 872.86 จุด ลดลง 21.48 จุด หรือ 2.40% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 892.87 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 871.82 จุด มูลค่าการซื้อขาย 19,162.10 ล้านบาท

ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 5,229.95 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 400.41 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,829.54 ล้านบาท

สำหรับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ประกอบด้วยหุ้นบมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาปิดที่ 386 บาท ลดลง 18 บาท หุ้น 4.46% มูลค่าการซื้อขาย 4,076.01 ล้านบาท, หุ้นบมจ.ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม หรือ PTTEP ราคาปิดที่ 151 บาท ลดลง 8 บาท หรือ 5.03% มูลค่าการซื้อขาย 2,151.12 ล้านบาท, หุ้นธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL ราคาปิดที่ 119 บาท ลดลง 3 บาท หรือ 2.46% มูลค่าการซื้อขาย 1,099.48 ล้านบาท

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วานนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงแรงตามตลาดหุ้นภูมิภาคและตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับลดลงเฉลี่ย 2% โดยตลาดหุ้นฮั่งเส็ง ของฮ่องกง ปรับลดลงมากที่สุดถึง 5% ในขณะเดียวกันมีแรงเทขายในหุ้นกลุ่มหลักที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มพลังงาน และกลุ่มแบงก์

ทั้งนี้ การที่ดัชนีปรับลดลงแรงนั้น มีปัจจัยที่เข้ามากระทบสั้นๆ 3 ปัจจัยหลัก คือ ปัญหาเรื่องความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจภาคการเงินของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากผลประกอบการกลุ่มธนาคารของสหรัฐที่ประกาศออกมาไม่ค่อยดี ทำให้นักลงทุนวิตกและขายหุ้นออกมา เพราะไม่แน่ใจว่าแนวโน้มปัญหาจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพร์ม) จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อไปหรือไม่ และอาจจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐในปีหน้าอาจจะชะลอตัวลดลง

นอกจากนี้ ปัจจัยจากราคาหุ้นในช่วงก่อนหน้าที่ปรับขึ้นมาค่อนข้างมีราคาสูงจนสูงกว่าราคาปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงมีแรงขายทางเทคนิคออกมา ประกอบกับนักลงทุนมักจะขายทำกำไรในช่วงก่อนวันคริสต์มาส เพราะนักลงทุนบางส่วนจะหยุดพักผ่อนยาว ดังนั้นจึงขายหุ้นออกมาเพื่อเก็บเงินไว้และนำเงินไปใช้ในช่วงสิ้นปี รวมถึงขายเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในช่วงสิ้นปี อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังจากนี้ มองว่าจะเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของหุ้น (Consolidation Period) ซึ่งจะเป็นช่วงปรับตัวก่อนสิ้นปี

สำหรับผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของจีน ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะชะลอเม็ดเงินลงทุนที่จะไหลออกนอกประเทศ จากก่อนหน้านี้ได้ประกาศเปิดทางให้มีการลงทุนในต่างประเทศได้ ทำให้แรงซื้อที่เข้ามาจากยุโรป รอที่เม็ดเงินจีนจะเข้าลงทุนหาย และการที่ตลาดหุ้นฮั่งเส็งในฮ่องกงปรับลดลงแรง เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าว เนื่องจากนักลงทุนจากจีนลงทุนในฮ่องกงเป็นจำนวนมาก ซึ่งนโยบายเศรษฐกิจของจีนที่จะออกมานั้น หากเป็นเชิงลบก็จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และคาดว่านโยบายที่จะออกมาเพื่อสกัดความร้อนแรงของเศรษฐกิจที่มีความร้อนแรง และควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้ปรับเพิ่มสูงขึ้น

ในส่วนของแนวโน้มการลงทุนในวันนี้คาดว่าดัชนีจะอยู่ในกรอบแนวรับที่ 860 จุด และแนวต้านที่ 883 จุด โดยแนะในระยะสั้นให้นักลงทุนที่หากมีกำไรอยู่ให้ขายทำกำไรออกมา และให้เฝ้าและติดตาม

ปัจจัยลบถล่มตลาดหุ้น

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า คาดว่าจะแรงขายหุ้นขนาดใหญ่จากนักลงทุนต่างชาติออกมาอย่างต่อเนื่อง

หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณที่จะไม่ลดดอกเบี้ยลงเร็วอย่างที่คาด ซึ่งอาจจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อาจไม่อ่อนค่าลงอย่างที่คาด ทำให้นักลงทุนต้องรอดูทิศทางอัตราดอกเบี้ยต่อไป

ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาของเฟดอีก 0.25% มาที่ 4.50% เป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด รวมทั้งลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน ลง 0.25% มาที่ 5.00% โดยเฟดระบุว่าความเสี่ยงเกี่ยวกับเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เท่าๆ กับความเสี่ยงช่วงขาลงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเข้านี้ร่วงแรง ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงของการปรับฐานของตลาดหุ้นไทยด้วย ในขณะที่นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อยู่ในระดับที่สูงเกินไป หวั่นว่าอาจจะไปส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นนักลงทุนจึงลดความเสี่ยงลงในช่วงนี้


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.