กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ลาออกจากแบงก์อาคารสงเคราะห์ไปแล้ว เรื่องราวความขัดแย้งในองค์กรยุคเขา
เกิดเป็นระลอก ผู้บริหารระดับสูงที่ถูกโยกย้ายต่างวิ่งเข้าหาเส้นสายการเมืองภายนอก
เพื่อต่อสู้กับเขาอย่างดุเดือด จนท้ายทุดเขาต้องลาออกด้วยความเบื่อหน่าย….ฉากเหตุการณ์เช่นนี้คือศึกสายเลือดที่มีผลต่อพฤติกรรมองค์กรในแบงก์อย่างช่วยไม่ได้
ถ้าจะแบ่งประวัติศาสตร์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ออกเป็นยุค ๆ ก็พอจะแบ่งออกได้เป็น
3 ยุคคือยุคที่หนึ่งเป็นยุคที่ธนาคารนี้ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยนักการเมืองรุ่น
2496 แล้วถูกครอบงำโดยข้าราชการประจำภายใต้อำนาจของรัฐบาลเผด็จการ ในเวลาต่อมา
ยุคที่สองเป็นยุคของนักการเมืองขึ้นมาบริหารภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตยไร้ทิศทาง
หลังเกิดขบวนการ 14 ตุลา ยุคที่สามประวัติศาสตร์มันย้อนรอยกลับมาเป็นยาคของข้าราชการอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลประชาธิปไตยครึ่งใบ และบัดนี้มันกำลังจะก้าวเข้าสู่ประวัติศาสตร์ยุคที่สี่เมื่อกิตติพัฒนพงศ์พิบูล
อดีตกรรมการผู้จัดการจำต้องยื่นใบลาออกจากตำแหน่งพร้อมกับน้ำตานองหน้า มีการพูดกันว่าคนที่จะมาเป็นกรรมการผู้จัดการแทนกิตตินั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่
เขาคนนั้นจะต้องเป็นคนของพรรคชาติไทยอย่างแน่นอน แล้วก็เป็นยุคของนักการเมืองที่จะขึ้นบริหารรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลังแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง
ก่อนที่ กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล อดีตรองผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อต่างประเทศจากธนาคารกรุงไทย
จะกระโดดข้ามฟากเข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการในธนาคารอาคารสงเคราะห์นั้น มานะศักดิ์
อินทรโกมาลสุตคนของพรรคประชาธิปัตย์นั่งทำหน้าที่เป็นกรรมการผู้จัดการอยู่โดยการสนับสนุนของสนั่น
เกตุทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และพลเอกอำนาจ ดำริกาญจน์ นั่งเป็นประธานกรรมการธนาคาร
ปี 2523 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นครองอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอำนาจที่เคยอยู่ในมือของนักการเมืองเริ่มถูกถ่ายเทมาอยู่ในมือของข้าราชการประจำ
และนักวิชาการแวดล้อมพลเอกเปรมบากลุ่มอย่างต่อเนื่องถึง 8 ปีที่พลเอกเปรมครองบัลลังก์อยู่นั้นเรียกกันว่าเป็นยุคทองข้าราชการประจำและนักวิชาการแวดล้อมทีเดียว
สมหมาย ฮุนตระกูล อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงการคลังถูกแต่งตั้งให้ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ซึ่งมีอำนาจในการดูแลควบคุมธนาคารอาคารสงเคราะห์รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงแห่งนี้ในปี
2524 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่วิกฤติทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังแสดงผลนับตั้งแต่วิกฤติการณ์น้ำมัน
2522 เกิดข้าวยากหมากแพง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำาและค่าเงินในตลาดโลกผันผวนอย่างรุนแรงธนาคารอาคารสงเคราะห์ก็ประสบกับปัญหานี้อย่างหนัก
ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงลูกค้าเงินกู้ที่ปล่อยออกไปไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
ข่าวที่ออกมาในยุคนั้นระบุว่ามีหนี้เสียถึง 2,000 ล้านบาท
มานะศักดิ์ อินทรโกมาลย์สุต ในฐานะกรรมการผู้จดัการได้พยายามดิ้นรนที่จะกอบกู้สถานการณ์
โดยขอให้กระทรวงการคลังให้ความช่วยเหลือด้านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และช่วยหาแหล่งเงินกู้ต้นทุนดอกเบี้ยต่ำและช่วยหาแหล่งเงินกู้ต้นทุนถูกจากต่างประเทศเข้ามาเสริมสภาพคล่อง
โดยมีพลเอกอำนาจ ดำริกาญจน์ ประธานกรรมการในขณะนั้นเป็นคนเจรจากับสมหมาย
ฮุนตระกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่
เรื่องทำท่าว่าจะได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดีเพราะบารมีของพลเอกอำนาจ
ซึ่งก็รู้อยู่ว่าเขาเป็นนายทหารคนสำคัญที่ค้ำบัลลังก์เปรมอยู่ในขณะนี้
หลักการนี้กำลังอยู่ในขบวนการพิจารณาซึ่งมานะศักดิ์กล่าวว่าเขาถูกดอกเรื่องไว้นานกว่าครึ่งปี
แม้จะมีข่าวว่าทางกระทรวงการคลังยินยอมรับตามหลักการที่เขาเสนอแล้วก็ตาม
เพียง 6 วันหลังจากที่ทางกระทรวงการคลังอนุมัติความช่วยเหลือ 23 มิถุนายน
2524 พลเอกอำนาจ ก็เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ทางกระทรวงการคลังได้แต่งตั้งให้
ไกรศรี จาติกวณิชจากกระทรวงการคลังเข้ามานั่งเป็นประธานกรรมการแทนพลเอกอำนาจ
อนาคตของมานะศักดิ์ก็ดับวูบลงตั้งแต่วันนั้น
มานะศักดิ์ถูกซักฟอกอย่างหนักในเรื่องการบิรหารงานธนาคารผิดพลาดล้มเหลวและส่อไปในทางที่ไม่สุจริตทำให้ธนาคารได้รับความเสียหายร่วม
2,000 ล้านบาท
มานะศักดิ์ อินทรโกมาลย์สุต ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ให้ขนของออกไปภายใน 24
ชั่วโมง ติดตามด้วยการแจ้งจับในคดีอาญาและฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในทางคดีแพ่งโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่เขาเคยนั่งบริหารอยู่
ผลคือคดีทั้งหมดได้รับการตัดสินแล้ว โดยมานะศักดิ์เป็นฝ่ายชนะ
ไกรศรี จาติกวณิช ดึงเอา กิตติพัฒนพงศ์พิบูล จากรองผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อต่างประเทศธนาคารกรุงไทย
หนุ่มนักเรียนอังกฤษเข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการแทนมานะศักดิ์ในเวลาติดต่อกัน
โดย สมหมายฮุนตระกูล ได้ให้การช่วยเหลือการบริหารงานของกลุ่มใหม่นี้เต็มที่
โดยเฉพาะการค้ำประกันเงินกู้ 1,000 กว่าล้านาบาท จากแหล่งเงินที่สมหมายถนัดคือ
เงินเยนจากญี่ปุ่น และเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 3-5%/ ปีจากธนาคารแห่งประเทศไทยอีก
1,000 กว่าล้านบาท
กิตติรู้จักกับไกรศรีตั้งแต่สมัยที่เป็นรองผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อที่ธนาคารกรุงไทยซึ่งดูแลรับผิดชอบการปล่อยกู้โครงการถลุงแร่สังกะสีของบริษัทผาแดงอินดัสทรี้
ซึ่งไกรศรีเป็นประธานกรรมการบริษัทในนามกระทรวงการคลัง หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งทั้งสองก็คือลูกหม้อกระทรวงการคลังด้วยกัน
เพราะกิตตินั้นก็เป็นคนของกระทรวงการคลังมาแต่งดั้งเดิม ประกอบกับเขาเป็นนักเรียนทุนคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
(ก.พ.) ในโควตาของกระทรวงการคลังสมัยก่อนที่จะเข้าทำงานอยู่ที่กรมบัญชีกลางย่อมเป็นที่มักคุ้นของผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังทุกคน
กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล เกิดที่สมุทรสงคราม เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2488 เป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราหะในขณะที่อายุเพียง
36 ปี เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาเป้นลูกชาวสาวนมะพร้าวสมุทรสงครามกิตติเป้นคนที่เรียนเก่งมาก
ๆ เขาสอบเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมได้อันดับต้น ๆ และเป็นนักเรียนติดบอร์ดของโรงเรียนมาตลอดจนเรียนจบแล้วสอบเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แต่กิตติเรียนที่วิศวะจุฬาได้เพียงปีเดียวก็ต้องจากไป เพราะในปีต่อมาเขาสอบชิงทุนกระทรวงการคลังได้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ
เขาใช้เวลาเรียนที่อังกฤษนานถึง 10 ปี เพราะต้องไปเริ่มเรียนชั้นมัธยมที่นั่นใหม่ตามระเบียบการศึกษาของอังกฤษ
ทำให้บุคลิกที่ติดตัวเขามาจนทุกวันนี้คือเป็นผู้ดีอังกฤษทุกระเบียดนิ้วเขาเรียนจบชั้นปริญญาโทและรับอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีของอังกฤษ
ก่อนที่จะเดินทางกลับเข้ามาทำงาเนป็นเศรษฐกรโทใช้ทุนกระทรวงการคลังที่กรมบัญชีกลางในเวลาต่อมา
กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ทำงานอยู่กับกรมบัญชีกลางได้เพียงปีเดียว ซึ่งเป็นปีที่เขาได้แต่งงานกับ
วิภาวดี ลืออำรุง ลูกสาวคุณหญิง อุไร ลืออำรุง พี่สาวแท้ ๆ ของธนัญชัย ณ
ระนอง เพื่อน และเลขาคู่ใจของสมหมาย ฮุนตระกูล ซึ่งสนิทสนมกันมากขนาดส่งลูกชาย
ธวัชชัย ณ ระนองมาเป็นคนติดตามสมหมายขณะเป็น ร.ม.ต.คลังกิตติทำงานใช้หนี้ทุนกระทรวงการคลังยังไม่หมด
แต่เขาได้เงินมาจำนวนหนึ่งไปชำระหนี้จนครบแล้วจึงลาออกจากกรมบัญชีกลางเข้ามาทำงานกับธนาคารกรุงไทยในฝ่ายสินเชื่อ
กิตติอยู่ในธนาคารกรุงไทยประมาณ 5 ปี รับผิดชอบดูแลงานด้านสินเชื่อต่าง
ๆ ประเทศ เพราะเขาเป็นคนมีความสามารถมีความรู้ด้านภาษาดี ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานสมัยนั้น
เขาได้เลื่อนชั้นขึ้นเป็นรองผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อได้อย่างรวดเร็ว
หนึ่งในจำนวนลูกค้าที่เขาดูแลอยู่นั้นก็คือบริษัทผาแดงอินดัสทรี้ ซึ่งเป็นโครงการการโรงงานถลุงแร่สังกะสีภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาล
กระทรวงการคลังและธนาคารกรุงไทยถือหุ้นใหญ่ในยุคเริ่มต้น
กิตติจึงค่อนข้างโชคดีที่พอเขาเข้ามาบริหารธนาคารอาคารสงเคราะห์ในฐานะกรรมการผู้จัดการแล้ว
เขาก็ได้รับความไว้วางใจอย่างสูง ทำให้การทำงานของเขาเป็นไปด้วยความราบรื่นตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาเดินเขาไปธนาคารอาคารสงเคราะห์
ทางด้านเงินทุนและการกำหนดกลยุทธ์ในการทำธุรกิจของเขาจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในการบริหารธนาคาร
เพราะได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากสมหมาย และไกรศรี ฉะนั้นสิ่งที่เขาจะต้องจัดการในทันทีที่เขาเข้าในธนาคารก็คือเรื่องการบริหารงานบุคคล
กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากนักบิรหารคนอื่น ๆที่แรก ๆ ก็เดินเข้ามาตัวคนเดียว
เพื่อเคลียร์พื้นที่ก่อนที่จะเดินงานต่อไป ในขณะที่เขามอบหมายให้กรมตำรวจดำนินคดีอาญาและยื่นฟ้องคดีแพ่งด้วยธนาคารเองเอากับ
มานะศักดิ์ อินทรโกมาลย์สุต อดีตกรรมการผู้จัดการคนก่อนก็ได้มีการตั้งกรรมการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องภายในอย่างต่อเนื่อง
และทำการโยกย้ายสับเปลี่ยนพนักงานกันเป็นขนานใหญ่
ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารอาคารสงเคราะห ์ที่ครองอำนาจอยู่ในยุคที่มานะศักดิ์เป็นกรรมการผู้จัดการหลายคนถูกย้ายขึ้น
ไปแขวนไว้ในตำแหน่งที่ปรึกษาและผู้ตรวจการธนาคาร โดยไม่ให้มีงานรับผิดชอบทำอีกต่อไป
ในจำนวนนั้นก็มีประกอบ คำนวรพรหัวหน้าสำนักกฎหมายในสมัยนั้นถูกย้ายขึ้นไปเป็นที่ปรึกษาทั่วไป
ประกอบมีความผิดอย่างฉกาจที่เป็นหัวหน้าส่วนสำนักกฎหมายแล้วแสดงความไม่เห็นด้วยที่ธนาคารสั่งดำเนินอาญาและยื่นฟ้องคดีแพ่งเอากับมานะศักดิ์
ประกอบถูกดองไว้ในตำแหน่งที่ปรึกษาทั่วไปโดยไม่มีงานทำนี้ติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งปัจจุบัน
แม้เขาจะมีเพื่อนธรรมศาสตร์และนักเรียนสมัยอยู่วัดบวรนิเวศที่สนิทกันหลายคนที่เป็นใหญ่เป็นโตในกระทรวงการคลังหลายคนก็ไม่อาจจะช่วยเขาได้
แรก ๆ ประกอบยังพอจะได้รับความนับถือจากพนักงานระดับล่าง ๆ อยู่บ้าง ในฐานะที่เคยเป็นผู้ริหารระดับสูง
เขาได้ลงมาช่วยงานพนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์เป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้เกิดความเซ็งมากจนน่าเบื่อหน่าย
แล้วในที่สุดเขาก็ถูกปฏิเสธจากพนักงานเกือบจะเรียกว่าสิ้นเชิง เมื่อเขาต้องอยู่ในสภาพไร้อำนาจนั้นติดต่อกันมายาวนาน
ปัจจุบันประกอบนั่งเก็บตัวเงียบอยู่บนห้องชั้น 2 ของสาขาราชดำเนินที่ศักดา
ณรงค์ สั่งให้ช่างรับเหมาช่วยทำให้เป็นสัดส่วน
สิ่งปลอบใจของประกอบคือหนังสือธรรมะ และวารสารเกี่ยวกับอภินิหารและพระเครื่อง
สภาพของประกอบเกือบจะเรียกได้ว่ากึ่ง ๆ เสมือนไร้ความสามารถหวาดระแวง โรคความกลัวขึ้นสมอง
มีเรื่องให้ทะเลาะเบาะแว้งกับพนักงานและลูกเมียอยู่บ่อย ๆ
คนต่อมาก็คือ สมภพ เชาวน์พันธ์สกุลหัวหน้าสำนักงานตรวจสอบภายในซึ่งถูกย้ายขึ้นไปแขวนไว้เป็นที่ปรึกษาทั่วไปเช่นกัน
ซึ่งโดยตำแหน่งหน้าที่เดิมของเขานั้นเป็นผู้ที่กำความลับเกี่ยวกับการบริหารการจ่ายภายในของมานะศักดิ์อยู่แล้วแหล่งข่าวในธนาคารอาคารสงเคราะห์เล่าให้
"ผู้จัดการ" ฟังว่าสมภพโดนชะตากรรมนี้ เพราะว่าเขาได้รับหนังสือร้องเรียนจากพนักงานให้เขาตรวจสอบการใช้จ่ายเงินภายใน
หลังจากที่กลุ่มผู้บิรหารใหม่เข้ามาว่ามีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต
แม้จะไม่ทราบแน่ชัดว่าใครคือคนที่ส่งหนังสือร้องเรียนขึ้นมา แต่สมภพก็ได้นำเรื่องขึ้นสู่ผู้บริหารระดับสูงและถึงกระทรวงการคลังจนมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ขึ้นมา
นิติกรในกระทรวงการคลังระบุว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริง แต่ปรากฎว่ากระทรวงการคลังได้เก็บเรื่องเงียบไว้ในระดับสูง
คำสั่งที่ออกมาแทนคือให้ สมภพ เชาวน์พันธุ์สกุล ย้ายขึ้นไปเป็นที่ปรึกษาทั่วไปของธนาคารจนกระทั่งปัจจุบันเช่นกัน
นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่บริหารระดับซี 5-7 อีกหลายคนถูกตั้งกรรมการสอบสวน
และลงโทษลดขั้นเงินเดือน และลดซีลงคนละ 2 ขั้น 2 ซี ถูกสั่งขึ้นไปเป็นผู้ตรวจการและที่ปรึกษาทั่วไป
ในจำนวนนี้ก็มี อาทิ ประสิทธิ์ วิรัตน์สกุล นิทัศน์ สวัสดิภาพ สมศักดิ์ ก้อนทอง
เชิดชัย โชติฑิฆัมพร ศักดา ณรงค์ และศิรภรณ์ อาภรณ์ศิริ ซึ่งคนหลังสุดนี้ถูกไล่ออกจากงานเลย
บุคคลเหล่านี้ถูกขนานนามว่าเป็นกลุ่มอำนาจเก่าจนกระทั่งวันสุดท้ายที่กิตติ
พัฒนพงศ์พิบูล ลาออกจากตำแหน่งก็มีการระบุว่า มีความพยายามอย่างสูงสุดในการเคลื่อนไหวที่จะล้มกิตติให้ได้และทำให้กิตติบอกว่ารำคาญตลอดมาที่ทำงานในธนาคารอาคารสงเคราะห์แห่งนี้
เมื่อมีคนถูกเขี่ยออกไปให้อยู่นอกวงจรก็ต้องมีการจัดหาคนใหม่เข้ามาทำงานแทนที่
หรือมีการเรียกขานกันว่ากลุ่มเลือดใหม่ที่กำลังจะสูญเสียอำนาจในขณะนี้ เพราะเป็นคนที่กิตติดึงเข้ามาร่วมงานในยุคของเขา
และอย่างน้อยมีลูกน้องเก่าของเขาจากธนาคารกรุงไทยเข้ามาสมทบอีก 5 คน
ในจำนวนนั้นก็มี ศิริวัฒน์ พรหมบุรีอายุอ่อนกว่ากิตติ 7 ปีเดิมเป็นเจ้าหน้าที่ในฝ่ายสินเชื่อธนาคารกรุงไทย
อัตราเงินในฝ่ายสินเชื่อธนาคารกรุงไทย อัตราเงินเดือนขณะนั้นประมาณ 5,000
บาท กิตติดึงมาช่วยงานเป็นผู้ช่วยหัวหน้าส่วนสินเชื่อธนาคารอาคารสงเคราะห์
(เทียบเท่ารองผู้จัดการฝ่ายในกรุงไทย) อัตราเงินเดือน 12,000 บาท ปัจจุบันสิริวัฒน์นั่งเป็นหัวหน้าส่วนสินเชื่อโครงการ
(เทียบเท่าฝ่ายในกรุงไทย ซี. 8) กินเงินเดือน 20,000 กว่าบาท
ฉัตร น่วมเจริญ เป็นอีกคนหนึ่งที่กิตติดึงเอามาจากฝ่ายสินเชื่อธนาคารกรุงไทย
มานั่งทำงานอยู่สำนักกฎหมายในธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฉัตรเป็นคนสนิทของมนตรี
พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนปัจจุบันและเป็นลูกน้องเก่าของกิตติสมัยอยู่ธนาคารกรุงไทยด้วยเหมือนกัน
สิทธิชัย ลิมปานนท์ หัวหน้าส่วนการเงินคนปัจจุบัน ก็เป็นคนที่กิตติดึงเอามาจากธนาคารกรุงไทย
นอกจากนี้ก็มีสมศักดิ์ อัศวโภคี หัวหน้าส่วนพัฒนาสินเชื่อโครงการ (สาย 2)
พันโทประหยัด ปาลกะวงศ์ ถูกดึงมาจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มากินตำแหน่งเลขานุการช่วยบริหารซี
7 ซึ่งก็คือเลขาฯหน้าห้องของกิตตินั่นเองประหยัดเหมือนกับเป็น "การ์ด"
ให้กับกิตติไปในตัวด้วยเพราะถ้าใครจะเข้าพบกรรมการผู้จัดการของเขาจะต้องผ่านการตรวจสอบจากนายทหารนอกประจำการคนนี้ด้วย
ประหยัดจบจากคณะวิทยาศาสตร์จุฬาฯ เคยเข้าทำงานกับทหาร และเรียนปริญญาโทนิด้าไปด้วยในระหว่างนั้นจนจบได้ยสพันโทก่อนที่จะลาออกมาเข้าทำงานกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
สมัยที่พันเอกสมชาย หิรัญกิจ เป็นผู้ว่าการท่องเที่ยวฯ
ประหยัดเป็นเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวฝ่ายบริการประจำสำนักงานบางแสน ซึ่งคาดกันว่า
เขาจะต้องได้ขึ้นเป็นหัวหน้าในระหว่างนั้นอย่างแน่นอน แต่ปรากฎว่าคนที่ได้เป็นหัวหน้าจริง
ๆ ในเวลาต่อมาคือลูกชายของพันเอกสมชายเอง ทำให้ประหยัดรู้สึกผิดหวังมากจึงลาออกเมื่อเขาเมื่อเขาติดต่องานที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยผ่านจรรยดา มานะทัศน์ หัวหน้าสำนักผู้จดัการและเลขานุการคณะกรรมการซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนปริญญาโทนิด้ารุ่นเดียวกัน
สิทธิชัย ตันติ์พิพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการคนปัจจุบันก็เป็นคนนอกอีกคนหนึ่งที่เข้ามาในธนาคารอาคารสงเคราะห์ในยุคของ
กิตติ พัฒน์พงศ์พิบูล เป็นกรรมการผู้จัดการ สิทธิชัยตามที่คนใกล้ชิดเล่าให้ฟังว่าเขาเป็นคนเก่ง
เดิมทีเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายฝึกอบรมของการเคหะแห่งชาติในยุคที่ ดร.วิญญู
ณ ถลาง เป็นผู้ว่าฯ เมื่อดำรงค์ ลัทธพิพัฒน์ นักการเมืองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์
ลูกเขย สนั่น เกตุทัต เข้ามาเป็นผู้ว่าการเคหะแห่งชาติในปี 2518 ได้เกิดความขัดแย้งกันเล็กน้อยกับสิทธิชัยทำให้สิทธิชัยตัดสินใจลาออกจากการเคหะฯ
โดย ดร.วทัญญู ณ ถลาง นำมาฝากเข้าทำงานที่บริษัทปุ๋ยแห่งชาติในปี 2518 ได้เกิดความขัดแย้งกันเล็กน้อยกับสิทธิชัยทำให้สิทธิชัยตัดสินใจลาออกจากการเคหะฯ
โดยดร.วทัญญู ณ ถลาง นำมาฝากเข้าทำงานที่บริษัทปุ๋ยแห่งชาติในช่วงเริ่มต้นโครงการ
สิทธิชัยอยู่กับปุ๋ยแห่งชาติได้ไม่นานซึ่งว่ากันว่าเกิดความขัดแย้งกันภายในอีกเช่นกันทำให้เขาต้องลาออกทิ้งเงินเดือน
45,000 บาทมากินเงินเดือน 20,000 บาท เศษ ๆ ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการคนเดียวจนถึงปัจจุบัน
(ตามโครงสร้างของธนาคารมีตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ 2 คน) ซึ่งคาดกันว่า
สิทธิชัย ตันติ์พิพัฒน์ จะถูกวางให้รักษาการกรรมการผู้จัดการต่อจากกิตติประมาณ
3 เดือนก่อนที่จะพิจารณาว่าเขาเหมาะสมที่จะขึ้นเป็นต่ออย่างถาวรหรือไม่
ส่วนคนเก่าลูกหม้อธนาคารที่ได้รับการสนับสนุนจากลุ่มผู้บริหารใหม่ในยุคนั้นก็คือ
รัตนาเรื่องรอง บัญญัติ ศาสตร์ร้าย อดีตผู้นำสหภาพแรงงาน ภิรมย์ พันธุจินดา
ยธวัช วงศ์สว่าง ปรีชา ฉิมไพโรจน์ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีชื่อเป็นกรรมการสอบสวนที่กลุ่มผู้บิรหารใหม่ในยุคนั้นตั้งขึ้นมาเฉือดเฉือนพนักงานที่มีความเกี่ยวพัน
และรุ่งเรืองสมัยมานะศักดิ์เรืองอำนาจเข้มแข็งในการบริหารมากยิ่งขึ้น
กิตติใช้นโยบายประหยัดอย่างเข้มงวด ในการใช้จ่ายต่าง ๆ ของธนาคาร เขาใช้เงินที่ได้มาจากการกู้ยืมต่างประเทศและพันธบัตรดอกเบี้ยต่ำเป็นตัวทำรายได้เพิ่ม
100 กว่าล้านบาทโดยการปล่อย CALL LOAN ระหว่างธนาคาร ไม่เน้นการระดมเงินฝากและการปล่อยสินเชื่อมากนักในระยะ
3 ปีแรก ( 2524-2526) ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะอยู่ในระหว่างการศึกษากลยุทธ์
ตัวเลขสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพียง 80 กว่าล้านบาท และเงินฝากเพิ่มขึ้น 90 กว่าล้านบาท
แต่รายได้เพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านบาทในปี 2524 มีกำไรเพิ่มขึ้น 15 ล้านบาทในปีเดียวกัน
ในขณะที่รายได้ลดลงในปี 2526 แต่กำไรเพิ่มขึ้นถึง 50 ล้านบาทในปีเดียวกัน
กำไรส่วนใหญ่จึงเป็นกำไรที่ได้จากส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำที่กระทรวงการคลังช่วยเหลือและการประหยัดค่าใช้จ่าย
ผลประกอบการค่อนข้างก้าวกระโดดเอาในปี 2527 โดยเฉพาะทางด้านเงินฝากเพิ่มขึ้นสูงถึง
3,454 ล้านบาท แต่สินเชื่อเพิ่มขึ้นเพียง 645 ล้านบาท กำไรก็ยังคงกระโดดขึ้นอีก
26 ล้านบาท แต่ก็มาลดลงอีกในปี 2528 ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารเริ่มมีการลงทุนสร้างอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่ถนนรัชดาภิเษก
และมาตรการชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศโดยการจำกัดสินเชื่อของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
- สมหมาย
กำไรเริมลดลงเรื่อยๆ จนถึงปี 2530 ซึ่งเป็นปีที่ธนาคารได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการลดค่าเงินบาทและการแข็งตัวของค่าเงินเยนที่ธนาคารกู้มานั้นเริ่มแข็งตัวขึ้นอย่างรุนแรง
แต่ก็ยังโชคดีที่ภาวะเศรษฐกิจในประเทศเริ่มฟื้นตัว รายได้และการลงทุนของคนในประเทศสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อในรอบ
2 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งภายหลังต่อมาผลการดำเนินที่ยกมาน ี้เป็นจุดอ่อนอย่างมากสำหรับกิตติที่เขามักให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า
เขาเป็นผู้สร้างธนาคารอาคารสงเคราะห์ให้พ้นจากสภาพความเป็นโรงรับจำนำในอดีต
เพราะมักจะถูกตอบโต้เป็นคลื่นใต้น้ำทันทีจากสายอำนาจทางเมืองว่าเป้นการยกตนข่มท่าน
และว่าที่กิตติอยู่ได้มาตลอดระยะเวลา 8 ปีนั้นเพราะการค้ำจุ้นของระบบข้าราชการในกระทรวงการคลัง
กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล เป็นฝ่ายรุกมาตลอดระยะเวลา 6 ปี เพิ่งจะอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัดและเป็นฝ่ายรับบ้างเมื่อ
2 ปีที่ผ่านมานี้เอง สิ่งที่กิตติกล่าวว่าเขาถูกรบกวนจนน่ารำคาญจากลุ่มอำนาจเดิมมาตลอดนั้น
เริ่มขึ้นที่ ศิราภรณ์ อาภรณ์ศิริเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ประเมินหลักทรัพย์
โดนตั้งกรรมการสอบสวนและไล่ออกจากงานปลายปี 2527
ศิราภรณ์เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารอาคารสงเคาะห์ถูกตั้งกรรมการสอบสวนโดยข้อกล่าวหาว่ารายงานการประเมินราคาหลักทรัพย์สูงกว่าความเป็นจริง
กรณีลูกค้าราย รงค์ วงศ์สวรรค์ นักเขียนชื่อดังในวงเงินขอกู้ 200,000 บาท
ศิราภรณ์ประเมินหลักทรัพย์ไว้ 500,000 บาท เมื่อมีการตรวจสอบปรากฏว่าตัวบ้าน
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักทรัพย์ด้วยนั้นยังสร้างไม่เสร็จตามที่ศิราภรณ์รายงาน
คณะกรรมการสอบสวนจึงเสนอถึงกิตติและไล่ออกในเวลาต่อมา
"ผมไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกลั่นแกล้ง ผมอุทธรณ์ขอกลับเข้าทำงาน
แต่ไม่ได้รับการพิจารณา กถ้าผมจะผิดก็ไม่ถึงไล่ออกและธนาคารก็ยังไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดจากกรณีของผม"
ศิราภรณ์เล่าให้ฟังเมื่อสมัยถูกไล่ออกใหม่ ๆ
เมื่อหาหนทางกลับเข้าทำงานไม่ได้ ศิราภรณืเดินเครือ่งโดยสวมรอยสมอ้างตัวเองว่าเป็นเจ้าของบัตรสนเท่ห์กล่าวหาว่า
กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล กรรมการผู้จัดการใช้เงินเบี้ยประกันผิดประเภท และนำรถของธนาคารไปใช้ส่วนตัว
ซึ่งขณะนั้นคณะกรรมการสอบสวนที่กระทรวงการคลังตั้งขึ้นมาสอบสวนกำลังจะหยุดทำการสอบสวนอยู่แล้ว
เพราะไม่มีผู้ร้องทุกข์เป็นตัวตน
เมื่อศิราภรณ์รับสมอ้างว่าเขาเป็นผู้เขียนบัตรสนเท่ห์ขึ้นมาเอง ผู้ร้องทุกข์เกิดมีตัวตนขึ้นมา
การสอบสวนของคณะกรรมการจึงดำเนินการต่อไป นิติกร ซี. 8 ของกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้สรุปรายงานการสอบสวนระบุว่าเป็นกระทำผิดจริงและขอให้มีการลงโทษ
เรื่องได้สร้างความโกรธแค้นให้แก่ผู้บิรหารทั้งในกระทรวงการคลังและธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นอย่างยิ่ง
จึงให้มีการสั่งให้มีการสอบสวนกันใหม่และสรุปว่าการกระทำที่ถูกกล่าวอ้างนั้นไม่มีความผิด
การที่กระทรวงการคลังแก้เกมของศิราภรณ์ เช่นนั้นยิ่งเพิ่มความกดดันให้แก่เขามากขึ้นไปอีก
ศิราภรณ์สาวเรื่องการจัดซื้อที่ดินสร้างอาคารสำนักงานใหญ่ในปัจจุบัน โดยรูปอยู่ว่าจะทำให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้รับความเสียหาย
เพราะเป็นที่ดินอยู่ในแนวเวนคืนเพื่อทำสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งการสอบสวนก็ระบุออกมาเช่นกันว่าไม่มีความผิดอีกเช่นเคย
ศิราภรณ์เริ่มหมดหวังกับระบบราชการจึงเริ่มวิ่งเข้าหานักการเมือง ช่วงนี้นี่เองที่ศิราภรณ์เริ่มเข้าหา
มานะศักดิ์ อินทรโกมาลย์สุต เพื่อให้ช่วยเหลือเขาและนำข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมองค์กรที่เขไาด้มาให้มานะศักดิ์
ช่วยดำเนินเรื่องให้ แต่เนื่องจากในช่วงนั้นมานะศักดิ์เป็นเพียง ส.ส.สอบตกจึงไม่มีกำลังพอที่จะให้การช่วยเหลือได้มากนัก
แต่ศิราภรณ์ก็ได้คำแนะนำติดปลายนวมบ้างเล็กน้อย
ศิราภรณ์เริ่มรุกหนักขึ้นโดยทำเป็นจดหมายปิดผนึกส่งถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
สมัย สุธี สิงห์เสน่หืเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการประพฤติชอบในวงราชการ
(ปปป.) กรรมาธิการการเงินและการคลัง สภาผู้แทนราษฎรและอีกหลายหน่วยงานที่ศิราภรณ์พอจะนึกได้ในขณะที่เขากำลังหน้ามืดอยู่นั้น
รวมทั้งส่งให้หนังสือพิมพ์ด้วย
แต่ศิราภรณ์ก็ไม่สามารถจะรื้อฟื้นในสิ่งที่เขาต้องการได้ เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง
ๆ พอใจในคำชี้แจงของ ปลัดกระทรวงการคลังดร.พนัส สิมะเสถียร
กรรมาธิการการเงินการคลังเริ่มจับเรื่องนี้ขึ้นมาเล่นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่การเลือกตั้งล่าสุดปรากฎวามานะศักดิ์
อินทรโกมาลย์สุต ได้เข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคประชากรไทย
เพราะศิราภรณ์ได้ส่งเรื่องของเขาอีกครั้งถึงหัวหน้าพรรคประชากรไทย สมัคร
สุนทรเวช
ผลการพิจารณาติดตามเรือ่งของคณะกรรมาธิการการเงินและการคลังออกมาว่ากิตติไม่มีความผิด
ซึ่งในระหว่างนั้น กิตติเริ่มหันมาเจรจากับศิราภรณ์ว่าจะรับกลับเข้าทำงาน
แต่ขอเวลาอีกสักระยะหนึ่ง
ขณะที่เดินงานเกี่ยวกับเรื่องร้องทุกข์ 3-4 ปีติดต่อกัน โดยไม่สนใจทำงานทำการศิราภรณ์ต้องตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด
บ้านที่เคยอาศัยกันอยู่กับลูกเมียอย่างอบอุ่นที่แจ้งวัฒนะต้องถูกยึดพร้อมกับแยกกันอยู่คนละฝักคนละฝ่ายโดยไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกัน
แต่เป็นเพราะภาระทางการเงินในครอบครัวบีบคั้น
กิตติเริ่มอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัดเช่นเดียวกัน เมื่อ ไกรศรี จาติกวณิช
มีเรื่องมีราว "กรณีโตโยต้าซอเรอร์" จำต้องออกจากราชการ และพ้นจากตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์โดยปริยาย
ในปลายยุคสมัยของพลเอกเปรมติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีติดต่อกันมาแล้วถึง
7 ปี
ประภัทธ์ โพธิสุธน ขึ้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังดูแลงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้จับเรื่องนี้ขึ้นมาเคลียร์
ซึ่งกิตติก็เหนื่อยอ่อนเอามาก ๆ กว่าเรื่องจะเงียบลง เพราะเขาไม่เคยชินกับระบบการใช้อำนาจแบบใหม่ของระบบการเมืองแบบใหม่ที่เริ่มจะเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อย
ๆ
แม้มีการเปลี่ยนประธานกรรมการจาก ไกรศรี จาติกวณิช มาเป็น ไพจิตร เอื้อทวีกุล
และจนมาถึง เมธี ภมรานนท์ กิตติก็ยังไม่เหนื่อยมากเท่าคราวที่มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจกาปรกครองในทำเนียบรัฐบาลจากพลเอกเปรมมาเป็นพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ ซึ่งทำให้โฉมหน้าทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ข้าราชการและนักวิชาการแวดล้อมพอเอกเปรมต่างก็แตกกันกระเจิดกระเจิงแทบจะรวมตัวกันไม่ติด
ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ ที่ตำแหน่งบริหารสูงสุด เป็นตำแหน่งทางการเมืองที่แต่งตั้งถอดถอนไปได้ด้วยอำนาจรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงหรือมติคณะรัฐมนตรีถูกเปลี่ยนแปลงเอาข้าราชการหรือนักวิชาการออกไป
นำเอาคนที่พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลไว้ใจเข้ามารับผิดชอบการบริหารแทน
สำหรับรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลังก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถูกจ้องตาเป็นมัน
คนที่หลุดออกจากวงจรก่อนใครอื่นนั้นคือ จำลอง โต๊ะทอง ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรซึ่งอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกวา
10 ปี ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทยซึ่ง เธียรชัย ศรีวิจิตร
นั่งอยู่นั้นก็ร้อน ๆ หนาว ๆ เพียงแต่ธนาคารมันใหญ่เกินกว่าที่จะหาคนมานั่งแทนได้ง่าย
ๆ จึงรอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีกาเรปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้นี้
ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกำจร สถิรกุล ก็สั่นคลอนอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะสง่บลงกลายเป็นคลื่นใต้น้ำที่ไหนอยู่ลึก
ๆ รอโอกาสที่จะก่อตัวขึ้นมาอยู่ทุกวันเช่นกัน แล้วก็ถึงคราวตำแนห่งกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ซึ่งท้ายสุด
กิตติ พันพงศ์พิบูล ก็ไม่สามารถทนรับสภาพตกเป็นฝ่ายรับต่อไปอีกได้
ในขณะที่กิตติตกเป็นฝ่ายรับนับตั้งแต่ไกรศรี จาติกวณิช ออกจากตำแหน่งประธานกรรมกา
มีนักการเมืองอยู่คนเดียวคือ ประภัทร์ที่กิตติสามารถเคลียร์สำเร็จโดยการสนับสนุนของ
พนัส สิมะเสถียร ปลัดกระทรวงการคลัง เพราะพูดกันด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิแล้วประภัทร์ยังอ่อนกว่าพนัสอยู่มากทีเดียว
แต่ก็หาทำให้กิตติกลับขึ้นมาเป็นฝ่ายรุกเช่นเดิมหรือไม่
กิตติยิ่งอ่อนแรงลงเท่าไหร่ ข้อมูลการบริหารงานเกี่ยวกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ยิ่งถูกส่งถึงกระทรวงการคลังถี่ขึ้นเท่านั้น
ไม่ว่ากิตติจะพูดอะไรอกมาดูเหมือนจะถูกดักแทงถูกทางตลอดเวลา และการเคลื่อนไหวที่จะเปลี่ยนตัวกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกวัน
"แต่ผู้ใหญในกระทรวงการคลังยังหาคนที่จะมาเป็นแทนไม่ได ้ก็เลยชะลอกันไปก่อน
ในขณะเดียวกันนั้นทางฝ่ายข้าราชการประจำก็เสนอหม่อมเต่า (ม.ร.ว. จตุมงคล
โสณกุล) เข้าเป็นประธานกรรมการแทนเมธีที่เพิ่งเกษียณอายุไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ซึ่งเขาเชื่อกันว่าจะสามารถคานอำนาจทางฝ่ายการเมืองไทย เพราะหม่อมเต่าเป็นข้าราชการที่มีความสามารถและรวยไม่มีแผลที่จะให้นักการเมืองแตะได้"
แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังกล่าว
แต่แทนที่การแต่งตั้งหม่อมเต่าเข้ามาเป็นประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์จะทำให้เหตุการณ์พลิกไปในทางที่ดีขึ้นสำหรับกิตติ
เพราะทั้งสองต่างก็เป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทกันทั้งในบานะนักเรียนเก่าอังกฤษมาด้วยกันและเป็นมันสมองใหม่ในกระทรวงการคลังรุ่นราวคราวเดียวกัน
กิตติต้องมาสะดุดขาตัวเองล้ม เมื่อก่อนที่จะมีข่าวออกมาแน่นอนว่า ม.ร.ว.จตุมงคล
โสณกุล จะขึ้นเป็นประธานกรรมการธนาคารแทนเมธีแน่นอนแล้วนั้น กิตติก็จัดการย้ายเอา
พันโทประหยัด ปาลกะวงศ์เลขาหน้าห้องของเขาเข้าไปรับตำแหน่งทางการบริหารคือที่ปรึกษารับผิดชอบสินเชื่อโครงการ
และย้ายสิทธิชัย บินอารี ผู้ช่วยหัวหน้าส่วนการเงินไปเป็นหัวหน้าส่วนการบัญชี
ซึ่งเป็นการปิดตำแหน่งบริหารไม่ให้ว่างพอสำหรับลูกหม้อเก่าอย่าง ศักดา ณรงค์ผู้จัดการสาขาราชดำเนินที่กำลังจะได้รับการโปรโมทให้ขึ้นไปในปีนี้
ข้อมูลเกี่ยวกับการโยกย้ายพร้อมกับการวิเคราะห์การเดินเกมของกิตติถูกส่งถึงรัฐมนตรว่าการกระทรวงการคลัง
ประมวลสภาวสุ และ ร.ม.ช. สุธน ชามพูนุช ซึ่งดูแล ธอส.โดยตรง ตลอดทั้งรัฐมนตรีประจำทำเนียบรัฐบาลบุญเอื้อ
ประเสริฐสุวรรณ "วิบ" ของพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดทั้งบ้านซอยราช ครู
"มีการเตรียมการขั้นเบื้องต้นวาถ้ากิตติก้าวเข้ามาในเชิงรุกอีกครั้งหนึ่งก็ถือคราวที่จะยืนคำขาดให้กิตติยื่นใบลาออกทันที"
และถ้าไม่ลาออก็จะย้ายเข้าประจำกระทรวง แหล่งข่าวที่รู้เรื่องดีคนหนึ่งบอกกับ
"ผู้จัดการ" และข่าวนี้ก็คงถึงหูกิตติอยู่บ้างเช่นกัน
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2532 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ วาระที่เสนอแต่งตั้งม.ร.ว.จตุมงคล
โสณกุล เข้าเป็นประธานกรรมการ ตกบ่ายวันเดียวกัน กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล สั่งให้เลขาพิมพ์คำสั่งย้าย
ศักดา ณรงค์ พ้นตำแหนงผู้จัดการราชดำเนิน แล้วแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งเลขานุการช่วยบริหาร
(ซี. 7 เหมือนเดิม) ซึ่งเป็นตำแหน่งลอยไม่มีสายงานบังคับบัญชา พร้อมกับมีหนังสือเวียนแจ้งให้ผู้บริหารทั่วธนาคารทราบในทันที
คำสั่งมาถึงสาขาราชดเนินเวลา 15.30 น. ศักดายังไม่เซ็นรับทราบคำสั่ง
ศักดา ณรงค์ รีบตะบึงรถเข้าพบผู้ใหญ่กระทรวงการคลังในเย็นวันนั้นทันทีถึงที่บ้าน
ศักดาบอกว่าเขาถูกลั่นแกล้งมาตลอดระยะเวลา 8 ปี และคราวนี้คงเป้นคราวที่เขาทนไม่ได้ต่อไปอีกแล้ว
ผู้ใหญ่คนนั้นรับปากจะแก้ปัยหาให้ศักดาจึงกลับมารอฟังข่าวที่บ้านหัวใจจดใจจ่อ
เพราะถ้าเกมนี้เขาแพ้ชาตินี้ก็ไม่ต้องเกิดกันอีกในธนาคารอาคารสงเคราะห์
ในคืนวันที่ 14 พฤศจิกายนทั้งคืน กิตตินอนไม่หลับเมื่อได้รับโทรศัพท์จากหม่อมเต่าประธานกรรมการคน่ใหม่ขอให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งย้ายศักดาและให้กิตติเข้าพบที่กระทรวงในตอนเช้า
ม.ร.ว.จตุมงคล โสภณกุล พูดกับกิตติ พัมนพงศ์พิบูล อย่างตรงไปตรงมาตามประสาเพื่อนว่า
"เรื่องนี้ผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังขอให้ทำการเปลี่ยนแปลงคำสั่งด่วน"
เพราะเขาว่ากิตติไปรังแกคนของเขา
หนังสือยกเลิกคำสั่งให้ย้ายศักดาจึงออกมาตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 15 พฤศจิกายนพร้อมกับเวียนให้ผู้บริหารทราบทั่วธนาคารเช่นกัน
และพอ กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล กลับมาถึงที่ทำงานที่ถนนรัชดาภิเษกเขาก็ตัดสินใจขอลาออกจากตำแหน่ง
โดยเตรียมยื่นหนังสือลาออกนั้นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรุ่งขึ้นของสัปดาห์ต่อมาโดยขอให้ใบลาของเขามีผลตั้งแต่วันที่
31 ธันวาคม 2532 เป็นต้นไป
ขณะที่ "ผู้จัดการ" ปิดต้นฉบับนี้กิตติยังคงนั่งเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ใช้อำนาจเต็มตามตำแหน่งทุกประการ
มีการล่าลายเซ็นของพนักงานประมาณ 282 คน เพื่อยื่นต่อกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการคนใหม่
คือหม่อมเต่า และตัวกิตติเองเพื่อขอให้เขาอยู่ทำงานเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ต่อไป
และได้มีการเตรียมการที่จะจัดงานเลี้ยงอำลาใหญ่ในวันที่ 28 ธันวาคม ที่บริเวณลานหญ้าหน้าสำนักงานใหญ่
ซึ่งนักสังเกตการณืในธนาคารอาคารสงเคราะห์วิเคราะห์ว่านั่นเป็นสิ่งเดียวที่กิตติทำได้ก่อนที่จะอำลาตำแหน่ง
นอกจากคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายสำคัญ ๆ ที่เขาจะต้องเซ็นเสียโดยเร็วก่อนที่จะพ้นตำแหน่งไปจริง
ๆ
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของธนาคารอาคารสงเคราะห์เริ่มปรากฏชื่อ ศักดา ณรงค์เข้ามาแทนที่
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ถูกระบุตรง ๆ ว่าจะขึ้นเป้นกรรมกาผรู้จดัการแทนกิตติ เพราะขณะนี้ทางพรรคชาติไทยยังหาตัวคนที่จะมานั่นแทนไม่ได้จึงคุยกันในวงในของผู้มีรอำนาจว่า
สิทธิชัย ตันติพิพัฒน์รองกรรมการผู้จัดการจะขึ้นเป็นกรรมการรักษาการเป็นเวลา
3 เดือนแล้วค่อยพิจารณาใหม่ว่าสมควรจะให้อยู่ได้หรือไม่
"การที่จะอยู่ต่อได้หรือไม่อยู่ที่ว่าเขาสามารถสนองตอบนโยบายของกระทรวงการคลังได้ขนาดไหน"
คนของพรรคชาติไทยคนหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ศักดา ณรงค์ อาจจะขึ้นเป็นรองกรรมการผู้จัดการสายบริหารงานภายใน เช่น ส่วนกลาง
ส่วนควบคุมสินเชื่อ สำนักกฎหมาย ส่วนเงินกู้ทั่วไป ซึ่งประกอบด้วยหน่วยการพนักงาน
พัสด ุและค่าใช้จ่ายสารบรรณ สถานที่ และยานพาหนะ ฝึกอบรม หน่วยประเมินหลักทรัพย์
เร่งรัดหนี้สิน นิติกรรม และเงินกู้รายย่อย ซึ่งเป็นงานที่เขาเคยผ่านมา และมีรายงานจากกระทรวงการคลังยืนยันค่อนข้างแน่นอน
ส่วนตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการที่ว่าง ซึ่งควบคุมทางด้านเงินกู้โครงการนั้นคงจะให้สิทธิชัยดูแลต่อไป
ศักดา ณรงค์ ปีนี้เขาอายุ 36 ปี เท่ากับกิตติสมัยที่เข้ามาใหม่ ๆ จบปริญญาตรีนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง
โดยใช้เวลาเรียน 2 ปีครึ่ง ในปี 2519 เข้าทำงานเป็นทนายความและที่ปรึกษากฎหมายกับธนาคารทหารไทยนปีเดียวกัน
พร้อมกับเรียบจบเนติบันฑิตในปีถัดมาจึงสอบเจ้าทำงานกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ในตำแหน่งนิติกรโดยสอบได้อันดับหนึ่ง
ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยหัวหน้าสำนักกฎหมาย (เทียบเท่ารองผู้จัดการฝ่ายซี.7)
รับผิดชอบงานทางด้านปรึกษากฎหมาย นิติกรรมสัญญาและคดีความทั้งหมดของธนาคาร
เมื่อปี 2525 หลังจากกิตติเข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ศักดาถูกย้ายให้มาเป็นผู้ช่วยหัวหน้าส่วนกลางรับผิดชอบทางด้านพนักงาน
สารบรรณ ธุรกิจการฝึกอบรมและค่าใช้จ่าย หน่วยสถานทีและช่าง หน่วยรักษาความปลอดภัยและยานพาหนะ
อยู่ในตำแหน่งนี้ติดต่อกันนานถึง 5 ปี จึงได้รับแต่งตั้งให้มาเป็นผู้จัดการสาขาราชดำเนินในปี
2530
คนในธนาคารอาคารสงเคราะห์บอกว่า ศักดาเป็นคนสนิทของ มานะศักดิ์อินทรโกมาลย์สุต
อดีตกรรมการผู้จัดการคนก่อน และเป็นคนที่เก็บข้าวของช่วยมานะศักดิ์ในวันที่ถูกไล่ออกจากธนาคารภายใน
24 ชั่วโมง และเป็นคนขันรถไปส่งมานะศักดิ์ถึงบ้าง แต่สักดาบอกกับ "ผู้จัดการ"
ว่าเขาก็คือลูกน้องคนหนึ่งของมานะศักดิ์เหือนคนอื่นในธนาคารแต่ไม่ถึงกับสนิทกันมาก
แต่รับว่าถูกต้องที่ว่ามีเขาเพียงคนเดียวที่กล้าไปช่วยมานะศักดเก็บของในขณะนั้น
และก็ยืนยันว่าเขาไม่เห็นด้วยที่จะให้แจ้งความจับและฟ้องร้องทางเพ่งและทางอาญากับมานะศักดิ์ในฐานะที่เขาเป็นทนายของธนาคาร
บุคลิกของกิตติกับศักดาต่างกันราวฟ้ากับดิน กิตติเป็นนักบัญชีและเป็นนักเรียนอังกฤษเป็นคนประหยัดไม่ออกสังคม
จะคบค้าก็เฉพาะแต่นักเรียนนอกด้วยกันเท่านั้นในขณะที่ศักดาเป็นคนที่คบคนง่าย
ใช้จ่ายมือเติบโดยเฉพาะกับเพื่อนพ้องและผู้หลักผู้ใหญ่ เนื่องจากฐานะครอบครัวร่ำรวย
ศักดาเป็นคนชอบอาสารับใช้ผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยใช้สำนักงานณรงค์ธรรมทนายความซึ่งเขาเป็นเจ้าของอยู่เป็นที่ทำงาน
โดยเฉพาะเรื่องคดีความและการจัดการทรัพย์สินให้กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นอกกระทรวงการคลังและหลังบ้านของนักการเมือง
ศักดาจึงเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้ใหญ่หลายคน โดยเฉพาะผู้ใหญ่สายพรรคชาติไทยในปัจจุบัน
เป็นครั้งแรกที่พรรคชาติไทยเข้ามาร่วมบริหารกระทรวงการคลังในยุคที่ประภัทธ
โพธิสุธน ขึ้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในปลายสมัยของเปรม ติณสูลานนท์
และก็ว่ากันว่า เพราะความช่วยเหลือจากพรรคชาติไทยนี่เองเขาจึงได้ถูกปล่อยออกจากหน้าที่ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าส่วนกลางมาเป็นผู้จัดการสาขาราชดำเนินเมื่อปี
2530 โดยที่กิตติเองก็ไม่ค่อยเต็มใจนัก
สมัยที่ศักดาเป็นผู้ช่วยหัวหน้าส่วนกลางอยู่นั้นก็สร้างความลำบากใจแก่กิตติพอสมควร
เพราะเขาคุมฝ่ายการพนักงานและสนับสนุนพนักงานให้มีการจัดตั้งสหภาพแรงงานขึ้นมาทั้งด้านการเงินและความคิด
แต่กิตติก็สามารถแก้เกมได้ด้วยการเลื่อนขึ้น ผู้ที่เป็นประธานสหภาพที่ศักดาสนับสนุนอยู่เดิมให้ขึ้นมามีตำแหน่งสูงขึ้นจนหลุดพ้นจากวงจรบารมีของศักดาไปได้ในที่สุด
ศักดา ณรงค์ พยายามที่จะเอาชนะกิตติด้วยวิธีวิ่งเข้าหานักการเมืองในขณะที่กิตติอาศัยข้าราชการประจำ
คนในธนาคารบางคนบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่าศักดาคือผู้ให้ความช่วยเหลือแก่
ศิราภรณ์ อาภรณ์ศิริ ในระหว่างที่เขาดิ้นรนต่อสู้เพื่อขอความเป็นธรรมในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งพยายามจะอธิบายว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อจะเลื่อยขาเก้าอี้ของกิตติ
ศักดาคือผู้ให้การช่วยเหลืออุ้มชูแก่ประกอบ คำนวณพร นายเก่าของเขา ที่ถูกย้ายขึ้นไปเป็นที่ปรึกษาทั่วไปของธนาคารให้มีห้องนั่งเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่บนชั้นสองของสาขาราชดำเนิน
และหลายครั้งที่อาการหวาดระแวงของประกอบแสดงออกมาในทางไม่ดีกับลูกค้าและพนักงานจนถึงขั้ยจะมีการพิจารณาโทษให้ประกอบออกจากงาน
ศักดาก็กระโดดเข้าไปช่วยเหลือไว้
"ผมชอบช่วยเหลือคนแพ้" ศักดาพูดกับ "ผู้จัดการ" ด้วยเสียงยอมรับจริงจังในขณะที่ตัวเขาก็แทบจะเอาตัวไม่รอดด้วยนิสัยที่ชอบอาสาทำงานให้ผู้ใหญ่คนนั้นคนนี้ในวงการเมืองศักดาเป้นคนกว้างขวางในวงการเมือง
โดยเฉพาะในกระทรวงการคลังข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำงานของข้าราชการกระทรวงการคลังะจถึงมือนักการเมืองในกระทรวงการคลังและทำเนียบรัฐบาลเสมอ
ๆ ประโยชน์ที่เขาได้รับโดยตรงก็คือ ข้อมูลใด ๆ ก็ตามที่ถึงมือนักการเมืองในกระทรวงการคลังโดยสายอื่น
ๆ ก็มักจะตกมาอยู่ในมือเขาอยู่เสมอเช่นกัน จึงไม่แปลกที่ศักดามักจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับกิตติตลอดเวลา
"ถ้าจะพูดในแง่ของความรู้เขารู้เราแล้วศักดาได้เปรียบกิตติมากกว่าในขณะนี้"
คนในธนาคารอาคารสงเหคราะห์กล่าว กิตติกับศักดาไม่เคยสู้รบกันตรง ๆ มาก่อน
หกาก็รู้อยู่ในทีว่าต่างฝ่ายต่างก็จ้องที่จะซัดกันตลอดเวลาเมื่อศักดามารับตำแหน่งผู้จัดการสาขาราชดำเนินใหม่
ๆ สำนักงานใหญ่ก็ออกประกาศทันทีว่าห้ามไม่ให้สาขาราชดำเนินหาเงินฝากจากหน่วยงานราชการ
และเมื่อศักดาของอนุมัติใช้โทรศัพท์ทางไกล เพื่อสำรองไว้ติดต่อกับลูกค้าต่างจังหวัดกิตติก็แทงหนังสือมาว่าไม่มีความจำเป็นเพราะธนาคารมีกลยุทธ์อื่นสในการหาลูกค้าเงินฝากอยู่แล้ว
ในขณะที่ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวพบปะนักการเมืองของศักดาถูกรายงานถึงกิตติ
และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังถูกระบุว่าพยายามที่จะล้มกิตติศักดา
ก็ถูกบีบทุกวิถีทางที่จะทำให้การทำงานของเขาไมได้รับความสะดวกข้อมูลที่ระบุว่าศักดาถูกกลั่นแกล้งจากข้าราชการประจำก็ยิ่งถูกรายงานถึงนักการเมืองถี่ขึ้น
รายงานผลประกอบการของสาขาราชดำเนินที่ศักดาส่งให้ผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังทราบคือเงินฝากกระแสรายวันเพิ่มขึ้นจาก
1.7 ล้านบาทเป็น 149.7 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2531 เงินฝากประจำจาก 312 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเป็น
426 ล้านบาทในสิ้นปีเดียวกัน เงินฝากออมทรัพย์พิเศษจาก 3,452 ล้านบาท ลดลงเหลือเพียง
3,305 ล้านบาท รวมเงินฝากเพิ่มขึ้นทั้งสิ้นจาก 3,809 ล้านบาทในปี 2529 เพิ่มขึ้นเป็น
7,737 ล้านบาทเมื่อสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน 2532 หรือประมาณ 40% ของเงินฝากทั้งหมดของธนาคาร
จนวันสุดท้ายก็ถึงวันระเบิดสงครามกันอย่างเป็นทางการเมื่อ กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล
เสนอให้ย้ายศักดา ณรงค์ ไปเข้ากรุในตำแหน่งเลขานุการช่วยบริหาร ซึ่งกิตติตัดสินใจผิดพลาดเพียงนิดเดียวตรงที่มีความเชื่อมั่นกับประธานคนใหม่
ที่เป็นข้าราชการประจำมากกว่านัการเมืองในกระทรวงการคลัง ไม่เช่นนั้นเขาคงจะได้ยื้อไปได้อีกระยะหนึ่งและโอกาสก็คงยังไม่เปิดให้ศักดาได้กว้างถึงขนาดนี้