|
"ธนินท์"ทุ่มแสนล้านลงทุนเวียดนามเพิ่ม
ผู้จัดการรายวัน(30 ตุลาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ซี.พี.เตรียมแตกไลน์ธุรกิจในเวียดนามเพิ่มทั้งโทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกมูลค่ากว่า 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1 แสนล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า ชี้เสน่ห์ของเวียดนามอยู่ที่การเมืองมั่นคง นโยบายรัฐมีการสานต่อ ค่าเงินมีเสถียรภาพและจีดีพีโตเฉลี่ย 8% เตือนบีโอไอเร่งปรับปรุงกฎระเบียบส่งเสริมการลงทุนใหม่เพื่อดึงนักลงทุน โดยเฉพาะภาษี หลังถูกเวียดนามทิ้งห่าง ระบุภายใน 10 ปี ไทยไม่เร่งพัฒนามีสิทธิ์ถูกแซงหน้า เชื่อว่า 13 ปีเวียดนามก้าวสู่ประเทศอุตสาหกรรมได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เขตประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซี.พี.) เปิดเผยว่า นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการบริหารเครือซี.พี.ได้พบนายกรัฐมนตรีของเวียดนามเพื่อหารือแผนการลงทุนธุรกิจเพิ่มเติมในเวียดนาม ทั้งกิจการโทรคมนาคม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง และธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในเวียดนามนอกเหนือจากเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 3,600 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 1.26 แสนล้านบาท โดยเม็ดเงินลงทุนนี้ 50%เป็นการลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รวมค้าปลีก รองลงมาคือโทรคมนคม และโครงการนำถ่านหินลิกไนต์มาแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกพีวีซีและพีอี โดยใช้เทคโนโลยีจากจีน
ทั้งนี้ ซี.พี.ได้ยื่นเสนอแผนการลงทุนดังกล่าวให้กับกระทรวงการลงทุนของเวียดนาม เพื่อให้รัฐบาลศึกษาและอนุมัติการลงทุน รวมถึงการจัดหาพื้นที่ให้บริษัทฯเข้าไปดำเนินธุรกิจ รวมถึงการส่งเสริมการลงทุน โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นการลงทุนระยะเวลา 5ปี(2551-2556) โดยซี.พี.สนใจที่จะทำธุรกิจที่อยู่อาศัยรวมทั้งห้างสรรพสินค้าในแบรนด์โลตัส และร้านค้าปลีกจำหน่ายสินค้าในแบรนด์ซี.พี. ซึ่งปัจจุบันที่อยู่อาศัยในโฮจิมินห์ค่อนข้างเต็มแล้ว ดังนั้นรัฐบาลเวียดนามมีแผนจะสร้างเมืองใหม่ใกล้กับโฮจิมินห์เพื่อพัฒนาให้เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนเพิ่มเติม
ส่วนธุรกิจโทรคมนาคม ทางซี.พี.สนใจลงทุนธุรกิจ ทั้งโทรศัพท์มือถือและโทรศัพท์พื้นฐาน ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินธุรกิจภายใต้วีนา โฟน หากซี.พี.จะเข้าไปลงทุนนั้นอาจจะไปซื้อหุ้นของธุรกิจนี้จากรัฐบาลมาบริหารงาน ส่วนจะทำภายใต้แบรนด์ใดนั้นยังไม่มีข้อสรุป โดยเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางผู้บริหารซี.พี.ก็ได้เดินทางไปหารือกับรัฐบาลเวียดนามในธุรกิจนี้ สำหรับธุรกิจธนาคารพาณิชย์นั้น ซี.พี.ได้ร่วมทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์และรัฐบาลเวียดนามตั้งธนาคารพาณิชย์วีนาสยามแล้ว
" ขณะนี้ซี.พี.มีความพร้อมด้านบุคลากรแล้ว เพียงแต่รออนุมัติจากรัฐบาลเวียดนามเท่านั้น ซึ่งคงต้องใช้เวลาเนื่องจากมีนักลงทุนจำนวนมากสนใจไปลงทุนที่เวียดนาม รวมทั้งรัฐบาลจะออกกฎหมายให้ต่างชาติซื้อสินทรัพย์และให้ธนาคารมีความยืดหยุ่นในการเข้าไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ฯ ส่วนธุรกิจค้าปลีกนั้น เวียดนามยังไม่เปิดให้ต่างชาติเข้าไปลงทุน เว้นแต่บิ๊กซีของฝรั่งเศสและเมโทร ของเยอรมันที่เข้ามาลงทุนตั้งแต่เริ่มเวียดนามเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม เวียดนามมีแผนจะเปิดเสรีธุรกิจค้าปลีกในอีก 2ปีข้างหน้า จึงเป็นจังหวะที่ดีของซี.พี.ในการเข้าไปลงทุน ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่ซี.พี.จะลงทุนเอง 100%เว้นโทรคมนาคมที่อาจจะร่วมทุนกับรัฐบาลเวียดนาม "
นายสุขสันต์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารนั้น เครือซี.พี. มีแผนจะลงทุนเพิ่มเติมอีกใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,500 ล้านบาท อาทิโรงงานผลิตอาหารแปรรูปที่ฮานอย โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกแห่งใหม่ 2 แห่งที่จ.บินห์เยือง จ.หายเยือง โดยหนึ่งในนั้นเป็นโรงงานอาหารสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดถึง 6แสนตัน/ปี
นอกจากนี้ มีการลงทุนโรงงานผลิตอาหารปลา 2แห่งที่จ.เกิ่นเธอ และจ.เบ็นแจ โรงงานผลิตนมและโยเกิตที่จ.บินห์เยือง พัฒนาการเลี้ยงปลาน้ำจืด และสร้างฟาร์มทดลอง รวมถึงการขยายฟาร์มฟักลูกกุ้งและฟาร์มเลี้ยงกุ้งขาว ซึ่งโรงงานเหล่านี้จะแล้วเสร็จในปี 2551-2552
การลงทุนในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมในเวียดนามนั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดิม 6 ล้านเหรียญสหรัฐเป็น 350 ล้านเหรียญสหรัฐภายใน 15ปี ซึ่งเม็ดเงินลงทุนใหญ่รองจากจีน โดยซี.พี.ในเวียดนามมีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 30-40% ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวม 550 ล้านเหรียญสหรัฐ และปี 2551 จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยรายได้นี้มาจากธุรกิจอาหารแปรรูปที่ซี.พี.เริ่มบุกตลาดมาในช่วง 4-5 ปีนี้ คิดเป็น 10%ของรายได้รวม หรือประมาณ 70 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายสุขสันต์ กล่าวถึงเหตุผลที่เวียดนามเป็นประเทศที่ต่างชาติให้ความสนใจเข้าไปลงทุนมากว่า ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในเวียดนามมาก เนื่องจากเป็นประเทศที่การเมืองมีเสถียรภาพ นโยบายรัฐมีความต่อเนื่อง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโตเฉลี่ยปีละ 8% โดยปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8.5% มีกำลังซื้อมาก รวมทั้งค่าเงินเวียดนามในช่วง 5-6 ปีนี้เปลี่ยนแปลงเพียง 1% บ่งชี้ว่าค่าเงินมีเสถียรภาพมาก และเวียดนามยังอยู่ใกล้จีน และอินเดียซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของโลก จึงเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักลงทุน
เป็นที่น่าสังเกตว่า ราคาสินค้าเกษตรและอาหารของเวียดนามนั้นแพงกว่าไทย อาทิ ไก่เป็นกก.ละ 60 บาท ขณะที่ไก่เป็นไทย 30 บาท/กก. หมูเป็น 60 บาท/กก. โดยซี.พี.ได้มีการปรับขึ้นราคาอาหารสัตว์ในปีนี้กว่า 10 ครั้ง ตามต้นทุนอาหารสัตว์ที่แพงขึ้น โดยรัฐบาลจะไม่เข้ามาควบคุมราคาสินค้า ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจากคนส่วนใหญ่ของเวียดนามเป็นเกษตรกร เมื่อราคาอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นเท่ากับเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวโพดก็มีรายได้เพิ่มขึ้นไปด้วย และเมื่อราคาเนื้อสัตว์แพง ผู้บริโภคสามารถเลือกทานเนื้อปลาที่มีราคาถูกได้ และล่าสุดเมื่อเร็วๆนี้ รัฐบาลเวียดนามได้ลดภาษีนำเข้าข้าวโพดจากต่างประเทศจากเดิม 5%เหลือ 20% เพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยที่ภาคเอกชนไม่ต้องเรียกร้อง โดยรัฐบาลเวียดนามได้มีการดูแลผู้ประกอบการเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามยังได้ประกาศนโยบายว่าเวียดนามจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมภายในปี 2563 เพื่อเทียบชั้นประเทศญี่ปุ่น เกาหลีและสิงคโปร์ ซึ่งตนเชื่อว่าเวียดนามคงก้าวไปถึงจุดนั้นได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากมีจุดเด่นด้านการเมืองมั่นคง เมื่อมีรัฐบาลใหม่ก็จะสานต่อนโยบายเดิม รวมทั้ง มีนโยบายเอื้อต่อการลงทุน ซึ่งแต่ละจังหวัดจะมีความยืดหยุ่นในการออกกฎระเบียบเพื่อดึงดูดนักลงทุนเองภายใต้กฎหมายที่ออกจากรัฐบาลกลาง
อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังมีปัญหาด้านระบบสาธารณูปโภค เช่นไฟฟ้า โลจิสติกส์ยังไม่ดี ซึ่งจำเป็นต้องมีการลงทุนอีกมาก ขณะที่ไทยมีระบบสาธารณูปโภคที่พร้อมมากกว่า แต่ รัฐบาลเวียดนามก็ไม่นิ่งนอนใจได้มีการดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนด้านนี้ อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงได้ญี่ปุ่นมาลงทุนให้ เป็นต้น ส่วนกรณีที่ไทยมองเวียดนามเป็นคู่แข่งนั้น ในความเห็นส่วนตัวมองว่าเวียดนามไม่ได้มองไทยเป็นคู่แข่ง แต่เขามองข้อผิดพลาดของไทยเพื่อนำไปแก้ไขปรับปรับปรุง โดยเวียดนามยังมองไปไกลกว่านั้นจากนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจที่ตั้งเป้าหมายเป็นประเทศอุตสาหกรรมในอีก 13ปีข้างหน้า
ดังนั้น นักลงทุนไทยควรมองลู่ทางการลงทุนในเวียดนามเพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ ซึ่งปัจจุบันสิงคโปร์เป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามใหญ่ที่สุดขณะที่ไทยลงทุนในเวียดนามอยู่ลำดับที่ 12-13
ดังนั้นตนมองว่าอีก 10ปีข้างหน้าโอกาสที่เวียดนามจะพัฒนาแซงหน้าประเทศไทยยังมองไม่เห็น เพราะพื้นฐานสาธารณูปโภคไทยดีกว่าเวียดนาม เว้นแต่ไทยยังเป็นเช่นนี้ ล่าสุดเวียดนามได้ เตรียมลงทุนสร้างสนามบินในอีก 2ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นสนามบินที่มีขนาดใหญ่กว่าสุวรรณภูมิ รองรับผู้โดยสารได้ปีละ 100 ล้านคนขณะที่สนามบินสุวรรณภูมิรองรับผู้โดยสารได้เพียง 40 ล้านคน/ปีเท่านั้น
"สิ่งที่อยากจะฝากไว้คือให้บีโอไอของไทยเร่งปรับปรุงหลักเกณฑ์เงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนใหม่เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะด้านภาษี น่าจะให้การลดหย่อนภาษีมากกว่า 8ปีเพื่อดึงดูดนักลงทุน แทนที่จะมัวมองว่ารัฐจะเสียรายได้เท่าไร ควรมองภาพให้กว้างกว่านั้นว่า เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาก่อให้เกิดการจ้างงาน ทำให้รายได้ประชาชนเพิ่มขึ้น เท่ากับเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ"นายสุขสันต์ กล่าว
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|