เมเจอร์ฯ สร้างจุดแกร่งสู้ตลาดบนดึงเอไอจีร่วมทุนรุกโครงการหรู


ผู้จัดการรายสัปดาห์(29 ตุลาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

เมเจอร์ฯ ผนึกกลุ่มเอไอจีตั้งบริษัทร่วมทุนรุกตลาดใหม่ซุปเปอร์ลักชัวรี่ หวังสร้างมาตรฐานใหม่สู้ดีเวลลอปเปอร์ข้ามชาติในตลาดคอนโดไฮเอนด์ ประเดิมโปรเจกต์แรกที่สุขุมวิท 31 เชื่อมั่นเครือข่ายระดับโลกของพันธมิตรช่วยเสริมฐานการเงิน-คอนเนคชั่นแข็งแกร่ง คว้าโอกาสสุดท้ายช่วงตลาดฟื้นรับข่าวเลือกตั้งเดินหน้าระดมทุนปลายปีนี้

เพราะจุดยืนเดียวของเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ที่เน้นรุกเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ เมื่อภาวะตลาดเปลี่ยนไป มีการเข้ามาของดีเวลลอปเปอร์รายใหม่ๆ ที่มีดีกรีระดับอินเตอร์ จึงกลายเป็นสิ่งที่กดดันให้เมเจอร์ฯ ต้องเร่งปรับตัวเองเพื่อรับมือกับผู้เล่นในตลาดที่มีประสบการณ์ลงทุนและโนว์ฮาวในการพัฒนาโครงการที่เหนือกว่า อีกทั้งต้องเร่งสร้างแบรนด์เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าชาวต่างชาติ กำลังซื้อสำคัญที่ผลักตลาดนี้ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

การตัดสินใจจับมือร่วมทุนกับเอไอจี โกลบอล เรียลเอสเตท อินเวสต์เมนต์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ในเครือของอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ หรือเอไอจี จากอเมริกา เพื่อจัดตั้งบริษัท เอ็มเจเอไอ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เพื่อรุกตลาดระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ โดยเมเจอร์ฯ ถือหุ้น 51% และเอไอจีถือหุ้น 49% แม้จะมองว่าการร่วมทุนกับพันธมิตรไม่ใช่โมเดลการปรับตัวที่แปลกนักในยุคนี้ แต่ก็น่าจะสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของดีเวลลอปเปอร์ไทยที่จะยกระดับให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ อีกนัยหนึ่งก็เพื่อเป็นการปูพื้นสร้างการตอบรับที่ดีของนักลงทุนให้เข้ากับจังหวะกระแสในช่วงที่เมเจอร์ฯ กำลังจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ปลายปีนี้

สุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (MJD) กล่าวว่า การร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่มเอไอจีจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของฐานเงินทุน โนว์ฮาว และการทำตลาดในระดับนานาชาติ อาศัยจุดแข็งของพันธมิตรที่มีประสบการณ์ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์หลายรูปแบบมาแล้วทั่วโลก โดยบริษัทร่วมทุนนี้จะลงทุนเป็นรายโครงการไป โครงการแรก ได้แก่ คอนโดมิเนียมใน ซ.สุขุมวิท 31 บนพื้นที่ 3.5 ไร่ มูลค่า 3,000 ล้านบาท ราคา 1.5 แสนบาทต่อ ตร.ม. ซึ่งจะเป็นโครงการระดับซุเปอร์ลักชัวรี่โครงการแรกของเมเจอร์ฯ จะเปิดตัวในต้นปีหน้า และเอไอจีคาดหวังผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นประมาณ 20-25%

ฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งของเอไอจีจากการลงทุนในหลายรูปแบบทั่วโลก ประสบการณ์จากการลงทุนพัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์ในประเทศต่างๆ รวมทั้งความสนใจที่จะลงทุนในไทย ที่สอดรับกับความต้องการของเมเจอร์ฯ ที่อยากจะสร้างความแข็งแกร่งเท่าเทียมกับคู่แข่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทข้ามชาติ จึงกลายเป็นความลงตัวที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย เพราะจะเป็นทางลัดที่จะทำให้เมเจอร์ฯ เป็นดีเวลลอปเปอร์ที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คาด แม้จะต้องแลกกับการเร่งสร้างผลตอบแทนกลับคืนผู้ถือหุ้นให้ได้ตามที่ตกลง

แม้ที่ผ่านมาภาวะตลาดทุนยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง แต่เพื่อความเติบโตของธุรกิจ ก็ถึงเวลาที่เมเจอร์ฯ ต้องอาศัยจังหวะโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปีเดินหน้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในเดือน พ.ย.นี้จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นสัดส่วน 28.57% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 500 ล้านบาท (ทุนจดทะเบียน 700 ล้านบาท) ทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิมลดเหลือ 62% ซึ่งจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาชำระหนี้สถาบันการเงิน 1,500 ล้านบาท ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงจาก 2.7 เหลือ 1.2 และใช้พัฒนาโครงการในอนาคต แม้ยังต้องเสี่ยงกับความผันผวนของตลาด แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่า โดยปกติก่อนเลือกตั้งจะเป็นช่วงที่ตลาดมีการซื้อขายคึกคัก จึงเป็นจังหวะเวลาที่ดีที่จะทำให้การระดมทุนประสบความสำเร็จ

สุริยน คาดว่า ปีนี้จะมียอดรับรู้รายได้จาก 3 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท และปีหน้าจาก 5 โครงการ มูลค่า 7,800 ล้านบาท จาก Backlog 8 โครงการ มูลค่า 13,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่อง 2-3 ปี ทำให้รายได้ปีหน้ามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยปีหน้ามีแผนจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมริมหาดจอมเทียน พัทยา เฟส 1 มูลค่า 3,300 ล้านบาท และอีก 2 โครงการใหม่ พร้อมทั้งสนใจจะขยายธุรกิจไปยังจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ ในอนาคต


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.