หวั่นปีหน้าตลาดค้าปลีกดิ่งเหว อัดพรบ.ฯเกาผิดที่ตีความไม่ออก


ผู้จัดการรายวัน(29 ตุลาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ฟันธง หากร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ... ประกาศใช้ ธุรกิจค้าปลีกตายลูกเดียว ยันปีหน้าไม่โตซ้ำร้ายจะถดถอยลงด้วยซ้ำ จากที่ปีนี้โตแค่ 4-5% ต่ำกว่าปีที่แล้วอีกด้วย พร้อมทั้งยำใหญ่ ร่างพรบ.ฯเกาไม่ถูกที่คัน หลายมาตรการไม่ชัดเจนและเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

นายธนภณ ตังคณานันท์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ.....ผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรีแล้ว และคาดว่าจะเข้าสู่การประชุมของสนช.ในเร็วๆนี้ ซึ่งทางสนช.ประกาศชัดเจนแล้วว่าจะต้องทำให้เสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ซึ่งเหลือเวลาอีกประมาณ 2 เดือนกว่าเท่านั้น

หากพรบ.ดังกล่าวมีผลใช้จริงแล้ว คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอย่างมาก โดยประเมินว่า จากมาตรการที่เข้มงวดและบางมาตรการที่ยังไม่ชัดเจนยังคลุมเครือในแง่ของการตีความนั้น จะทำให้การขยายธุรกิจในแง่ของสาขาใหม่ของค้าปลีกค้าส่งหยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อมูลค่ารวมตลาดค้าปลีกในไทยไม่เติบโต หรือมีแนวโน้มจะตกลงด้วยซ้ำ เพราะผู้ประกอบการไม่สามารถเปิดสาขาใหม่ๆได้ ลำพังอาศัยยอดขายจากสาขาเดิมก็ไม่โตมากนัก

ทั้งนี้ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ มีอัตราการเติบโต 4-5% เท่านั้น ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ส่วนในปีนี้ทั้งปีคาดว่ามูลค่าค้าปลีกโดยรวมจะเติบโตเพียง4-5% เท่านั้น ซึ่งเติบโตลดลงจากปีที่แล้วซึ่งเติบโตประมาณ 6% ทั้งๆที่โดยเฉลี่ยแล้วธุรกิจค้าปลีกจะเติบโตอย่างน้อย 2 หลักมาตลอด โดยมูลค่าค้าปลีกของไทยตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 1.2 - 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 13-15% ของมูลค่าจีดีพีของประเทศ หรือประมาณ 1 ใน 6 ซึ่งถือว่าเยอะมาก มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมด้วย

มูลค่าตลาดค้าปลีกดังกล่าวเป็นตัวเลขที่รวมทั้งโมเดิร์นเทรด เทรดดิชันแนลเทรด ซึ่งตัวเลขทางด้านโมเดิร์นเทรดนั้นรวบรวมมาจากยอดขายของสมาชิกของสมาคมฯที่มีผู้ประกอบการรวมเป็นสมาชิกมากกว่า 107 ราย ซึ่งสมาคมฯยังขอยืนยันว่า ทุกวันนี้ สัดส่วนตลาดใหญ่ยังคงเป็น เทรดดิชันแนลเทรดหรือค้าปลีกดั้งเดิมหรือโชวห่วย มากกว่า 60-70% ขณะที่สัดส่วนอีก 30-40% นั้นเป็นของโมเดิร์นเทรด

นอกจากปัญหาพรบ.ฯดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในปีหน้าต้องได้รับผลกระทบอีกเช่น 1.เรื่องของการส่งออกที่จะลดลงหรือไม่ กับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน 2. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเวลานี้ยังแย่อยู่ ไม่กล้าใช้จ่ายเงิน 3.เรื่องของการเมืองดูเหมือนดีขึ้นแต่ต้องรอหลังเลือกตั้งก่อน 4.เรื่องที่ควบคุมไม่ได้คือ ปัญหาต่างประเทศเรื่องความมั่นคงทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศคู่ค้าอย่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา หากปัญหาซับไพร์มกระทบยาวก็น่าเป็นห่วง และราคาน้ำมันที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งมีการประมาณว่า หากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นทุก 10 ดอลล่าร์จะมีผลต่อค่าจีดีพีที่หายไป 0.5%

สำหรับประเด็นปัญหาของร่างพรบ.ฯนั้น นายธนภณ วิเคราะห์ว่า มีหลายมาตราที่มีปัญหา เช่น มาตรา 3 คำจำกัดความ ธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งไม่ชัดเจนไม่รู้ว่าเป็นธุรกิจที่ขายอะไร, มาตรา 5 ที่กล่าวถึง ธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งที่ได้รับการยกเว้นไม่ถูกบังคับใช้จากพรบ..ฯนี้ คือ การขายยาตามกฎหมายว่าด้วยยา การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง การขายหนังสือหรือหนังสือพิมพ์ การขายของที่ระลึกตามแหล่งท่องเที่ยว การขายอัญมณีหรือเครื่องประดับ การขายอาหารที่ปรุงสำเร็จผู้ซื้อสามารถบริโภคได้ทันที การขายสินค้าซึ่งเป็นแหล่งผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์ของชุมชนเป็นหลัก การขายสินค้าอื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา นั่นหมายความว่าธุรกิจอื่นนอกเหนือจากนี้จะถูกบังคับใช้หมดใช่หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นร้านอะไรก็ตามเช่น ธุรกิจแล็ปสี ร้านขายมือถือ ร้านขายเครื่องใช้ไอทีต่างๆ หรือร้านขายเครื่องกีฬา หรือร้านขายเสื้อผ้า

มาตรา 7 ที่ว่าด้วยเรื่องคณะกรรมการฯ เป็นสัดส่วนทางภาครัฐมากเกินไป และบางหน่วยงานไม่เกี่ยวข้องและไม่แน่ใจว่าผู้ที่เข้ามาเป็นกรรมการจะมีความรู้เรื่องค้าปลีกกหรือไม่, มาตรา 20 เรื่องของการต้องขอใบอนุญาตการประกอบธุรกิจ โดยที่ธุรกิจที่มีพื้นที่ขายแห่งใดแห่งหนึ่งรวม 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป ธุรกิจที่มียอดรายได้รวมกันทุกสาขา 1,000 ล้านบาทขึ้นไป หรือธุรกิจที่ได้รับอนุญาตหรือให้ใช้สิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา หรือพูดง่ายๆคือ แฟรนไชส์ จะต้องขอใบอนุญาตขยายกิจการด้วย ซึ่งจะทำให้การขยายสาขาเกิดความลำบากมากขึ้น

“ผมไม่เห็นมีมาตราใดที่ระบุว่า จะช่วยเหลือโชว์ห่วยหรือค้าปลีกดั้งเดิมให้แข็งแกร่งหรือพัฒนาอยู่รอดได้เลย มีแต่เรื่องข้อห้ามโมเดิร์นเทรดรายใหญ่จำกัดเรื่องการขยายสาขาทั้งนั้น” นายธนภณกล่าวทิ้งท้าย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.