ดีแทคปรับภาพลักษณ์ลุยตลาดสื่อสารอิ่มตัว


ผู้จัดการรายวัน(25 ตุลาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ดีแทคใช้งบ 190 ล้านบาท ปรับภาพลักษณ์ใหม่อีกครั้ง หวังใช้เป็นกลยุทธ์ฝ่ายุคตลาดโทรคมนาคมอิ่มตัว ประกาศท้าความเสี่ยงด้วยการ Re-Feeling ลูกค้า หลังสงครามราคาที่ทำให้มีความหลากหลายซับซ้อนของโปรโมชัน ซึ่งทุกโอปอเรเตอร์เห็นปัญหาแต่ไม่กล้าทำ หวังเปลี่ยนความรู้สึกจาก “Feel Bad” ให้เป็น “Feel Good” โดยการปลดล็อกความยุ่งยากให้กลายเป็นความง่าย

นายซิคเว่ เบรคเก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค กล่าวว่า การใช้มือถือของคนไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคอิ่มตัว ซึ่งในปี 2551 คาดว่ามีตัวเลขสูงถึง 100% ซึ่งจะเห็นได้จากอัตราการเติบโตของลูกค้าต่างจังหวัด และสิ้นปีนี้เชื่อว่าจะมีผู้ใช้มือถือถึง 52 ล้านซิม และปีหน้าจะถึง 65 ล้านซิม โดยคนเมืองจะมีอัตราการใช้มากกว่าต่างจังหวัดเกือบ 2 เท่า หรือประมาณ 150% เนื่องจากผู้ใช้หนึ่งคนถือซิมมากกว่า 1 ซิม ประกอบกับแนวโน้มของการนำระบบเบอร์เดียวใช้ได้หลายเครือข่าย (Number Portability) ใกล้จะนำมาใช้จริง

จากแนวโน้มดังกล่าวดีแทคจึงต้องปรับเปลี่ยนตัวเองครั้ง ก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้นในปีหน้า ด้วยการรี-แบรนด์ดิ้ง ซึ่งไม่เฉพาะโลโก้ที่เป็น “FAN” ที่บ่งบอกถึงการให้ความเย็นจากลมที่พัด หรือในภาษาไทย “แฟน” ที่มีความรู้สึกที่ดีต่อกัน แต่ยังเป็นเรื่องโปรโมชัน บริการ รวมถึงพนักงานทุกคนของดีแทค ที่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกดีขึ้นในทุกๆ ด้าน

นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ถือเป็นการ Re-Feeling เพื่อเปิดเกมการตลาดใหม่ ซึ่งโฟกัสที่ลูกค้าโดยพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองในทุกๆ ด้าน ด้วยการตั้ง “Feel Goood” หรือความรู้สึกที่ดีที่ลูกค้ามีให้ กล้าที่จะเปลี่ยนในสิ่งที่เคยทำมา แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อลดความไม่สะดวกหรือความยุ่งยากต่างๆ ให้กับลูกค้า อาจทำให้มีความเสี่ยงทางธุรกิจควบคู่ไปด้วยก็ตาม

เหตุผลที่ดีแทคลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนตัวเอง เพราะปัญหาความยุ่งยากที่เป็นผลมาจากสงครามราคา ที่ห้ำหั่นกันด้วยโปรโมชัน จนมากมายหลากหลายซับซ้อนไปหมด และทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกที่ไม่ดี หรือ Feel Bad ซึ่งโอปอเรเตอร์ทุกรายเห็นปัญหาของความยุ่งยาก แต่ไม่กล้าที่จะแก้ไขตรงนี้ เหมือนเห็นหนอนแล้วเกิดความขยะแขยงที่จะหยิบกิน เพราะมีความเสี่ยงทางธุรกิจ เพราะลูกค้าสามารถเปลี่ยนจากที่เคยใช้ได้ง่าย ดีแทคจึงต้องการเปลี่ยนความรู้สึกลูกค้าจาก Feel Bad ให้เป็น Feel Good

การปรับ Re-Feeling ของดีแทคจะเริ่มจากระบบลงทะเบียนหรือโพสต์เพดก่อน ซึ่งกระบวนการสร้าง Feel Goood ซึ่งเป็นการลดความยุ่งยากให้ลูกค้า อันดับแรกคือ ความยุ่งยากในการชำระค่าบริการ โดยเฉพาะต่างจังหวัด โดยการเพิ่มจุดชำระค่าบริการง่ายๆ เพื่อความสะดวกผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงจุดให้บริการที่มีเครื่องหมายเคาน์เตอร์เซอร์วิส ร้านเจมาร์ท แฟมมิลี่มาร์ททุกสาขาที่มีสัญลักษณ์เจมาร์ทพอยต์

นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนแปลงบริการหลายประเภท เช่น เลื่อนการชำระเงินได้หากติดธุระ หรือตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดการโทร.ผ่านเว็บไซต์ได้ตลอดเวลา ลูกค้าโพสต์เพดสามารถใช้วงเงินเติมเงินให้พรีเพดได้ หรือเปลี่ยนเบอร์โพสต์เพดที่ใช้ให้เป็นพรีเพดได้หากต้องการ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สุดท้ายหากต้องการยกเลิกบริการก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการโทร.ไปที่คอลเซ็นเตอร์ 1678 เพื่อปิดบริการโดยไม่ต้องเดินทางไปที่ศูนย์บริการ

สำหรับการรี-แบรนด์ครั้งนี้ ดีแทคใช้ 190 ล้านบาท โดย 90 ล้านเป็นการตกแต่งชอป ที่เหลือเป็นการทำโฆษณาในรูปแบบต่างๆ

พร้อมกันนี้ ดีแทคยังเปิดตัว 4 แพกเกจ สามารถเลือกใช้ได้ตามสไตล์การใช้งานคือ 1.zero ค่าบริการรายเดือนศูนย์บาท คิดค่าใช้จ่ายตามจริงไม่มีขั้นต่ำ นาทีละ 2 บาท ไม่มีบิลรายเดือน และแจ้งยอดผ่านเอสเอ็มเอส 2.feel free 20 โทร.ฟรีวันละ 20 นาที เหมาจ่ายขั้นต่ำ 300 บาท 3. feel free 40 โทร.ฟรีวันละ 40 นาที เหมาจ่ายขั้นต่ำ 600 บาท 4. feel free 60 โทร.ฟรีวันละ 60 นาที เหมาจ่ายขั้นต่ำ 900 บาท

ปัจจุบันดีแทคมีลูกโพสต์เพดประมาณ 2-3 ล้านราย จากฐานลูกค้าทั้งหมดเมื่อสิ้นสุดไตรมาส 2 ที่มีประมาณ 17 ล้านราย ผู้บริหารดีแทคกล่าวถึงการลงทุนด้านเครือข่ายว่า ปีหน้าจะลงน้อยกว่า 1.5 หมื่นล้านบาทโดยมุ่งที่ขยายสถานีฐานเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บริการให้ครอบคลุมให้ทั่วถึงมากขึ้นมากกว่าเพิ่มความจุของระบบ

งวด 9 เดือนกำไรรวม 4.2 พัน ล.

สำหรับผลประกอบการประจำไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2550 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,362.28 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.57 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,199.16 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.51 บาท ขณะที่งวด 9 เดือนกำไรสุทธิ 4,254.07 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.83 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่กำไรสุทธิ 3,632.20 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.54 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 621.87 ล้านบาท คิดเป็น 17.12%


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.