|
อาหารแช่แข็งพร้อมทานแข่งดุซีพีเอฟแตกแบรนด์ยึดทุกตลาด
ผู้จัดการรายวัน(25 ตุลาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดอาหารแช่แข็งพร้อมทานเฟื่องโตวันโตคืน ขาใหญ่ลงชิงตลาด รับไลฟ์สไตล์คนกรุงเปลี่ยน ซีพีเอฟ เปิดแบรนด์ใหม่ “สมาร์ทมีล” สร้างตลาดแตกต่างจากแบรนด์เดิม หวังครอบคลุมทุกเซ็กเม้นท์ คดาปีแรกโกย 800 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ารายได้กลุ่มอาหารแช่แข็งกินสัดส่วน 50% จากรายได้ซีพีเอฟ
“อาหารแช่แข็งสำเร็จรูปพร้อมทาน” ถือเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตอย่างมาก ในยุคที่ไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพฯเปลี่ยนไป ต้องการความสะดวกสบายและความเร่งรีบมากขึ้น ความเคลื่อนไหวของค่ายยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจอาหารจึงเกิดขึนเป็นระยะในการเข้าสู่สมรภูมินี้ ทั้งรายเก่าที่งัดกลยุทธ์มาใช้ต่อกรป้องตลาด รวมทั้งรายใหม่ที่งัดเกมเข้าช่วงชิงตลาด ที่ว่ากันว่ามูลค่าตลาดต่อปีไม่น่าจะต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
ค่ายที่น่าสนใจเพราะมีการเดินเกมตลอดในทุกท่วงท่า คงหนีไม่พ้น “พรานทะเล” ที่ช่วงครึ่งปีหลังจะเน้นหนักให้ความสำคัญในการรักษาฐานลูกค้าเดิม โดยจะยึดเอากลุ่มแม่บ้านสมัยใหม่ เป็นหลักและขยายฐานลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วยการเปิดตัวสินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว อาทิ อูด้ง บะหมี่ พัฒนาเป็นเมนูอาหารทะเลแช่แข็งพร้อมรับประทาน และเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ จากเนื้อปลาและข้าว เป็นต้น วางจำหน่ายราคา 49 บาท ภายใต้แบรนด์พรานทะเล ซึ่งอาศัยเครือข่ายทางการตลาดที่มีมากกว่า 6,000 จุด เป็นช่องทางเข้าถึงผู้บริโภค
การรุกหนักของพรานทะเล ส่งผลให้ในไตรมาสแรกบริษัทฯมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 35% หรือประมาณ 300 ล้านบาท โดยแยกเป็นสัดส่วนยอดขายจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็งประเภทต่างๆ อาหารทะเลแช่แข็งพร้อมรับประทาน กว่า 90 ล้านบาท
ด้านค่าย เอส แอนด์ พี ที่มีแบรนด์ ควิกมีล เป็นอาหารกล่องแช่แข็ง ก็มีการปรับตัว อย่างเช่น การเปลี่ยนรสชาติใหม่เนื่องจากในปัจจุบัน เอส แอนด์ พี มองว่าในตลาดอาหาร กล่อง แช่ แข็ง พร้อมทาน มักจะแข่งและวัดกันตรงรสชาติมากที่สุด ทั้งนี้แบรนด์ ควิกมีล ยังไม่มีความเคลื่อนไหวด้านการขยายช่องทางการขายยังคงขายผ่านร้านในเครือเอสแอนด์พีและคอนวีเนียนสโตร์ อยู่เช่นเดิม ยกเว้นเซเว่น อีเลฟเว่น
ขณะที่ทางฟากของเครือเจริญโภคภัณฑ์พี่ใหญ่ธุรกิจอาหาร โดยมีบริษัทซีพีเอฟ ที่เป็นบริษัทในเครือเป็นผู้รับบทบาท เปิดฉากลุยอาหารพร้อมทานไม่หยุดยั้งด้วยการแตกแบรนด์ออกหลายแบรนด์ เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันไป เป็นการครอบคลุมตลาดให้กว้างมากที่สุด
นายสุขวัฒน์ ด่านเสริมสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ในเครือซีพี เปิดเผยว่า จากแนวโน้มตลาดอาหารแช่แข็งพร้อมทานมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯมีแผนจะรุกตลาดเต็มที่ ทั้งในแบรนด์ต่างๆที่บริษัทฯมีอยู่อย่าง ซีพีมีล บีเคมีล และอีซี่ส์โก ที่มีอยู่แล้ว แต่จะแตกต่างกันตรงที่ ช่องทางจำหน่าย ทีมขาย กลุ่มเป้าหมาย และระดับราคา ก็มีอัตราการเติบโตอยู่อย่างต่อเนื่องทุกปีเฉลี่ย 35% และแบรนด์ใหม่ๆที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
“คาดว่าภายในอีก 5 ปีข้างหน้าตลาดอาหารแช่แข็งพร้อมทานยังมีการเติบโตอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันนี้ตลาดรวมอาหารกล่องแช่แข็งยังเป็นตลาดที่เล็กมีมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาทเท่านั้นเอง เมื่อมีผู้ประกอบการรายใหญ่ลงมาเล่นมากขึ้น ทำตลาดมากขึ้น ก็จะทำให้ตลาดใหญ่ขึ้นตามไปด้วย”
ทั้งนี้เพื่อเป็นการรกตลาดตามนโยบายที่วางไว้ บริษัทฯจึงได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ชื่อว่า “สมาร์ท มีล (Smart Meal)” อาหารกล่องแช่แข็งพร้อมทานเพื่อสุขภาพ 6 เมนู ประกอบด้วย ข้าวกล้องแดงแกงเขียวหวานไก่ ข้าวกล้องขาวแกงเหลืองปลาทับทิม ข้าวกล้องขาวแกงป่าไก่ ข้าวกล้องแดงผัดกระเพราไก่ ข้าวกล้องขาวผัดขี้เมาหมูและข้าวกล้องขาวหมูกระเทียม ราคาจำหน่ายกล่องละ 69 บาท
บริษัทฯจะวางจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด พร้อมกับเตรียมขยายเข้าสู่ร้านเซเว่น อีเวฟเว่นและช่องทางอื่นๆต่อไป ทั้งโรงพยาบาล ฟิตเนส เป็นต้น เบื้องต้นเตรียมงบไว้ 30 ล้านบาท โปรโมตสินค้า ทั้งบีโลว์ เดอะไลน์และอะโบฟเดอะไลน์ และจากการทำตลาดในปีแรกบริษัทฯคาดว่าแบรนด์ สมาร์ทมีลนี้จะมียอดขายประมาณ 800 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท ในปี 2551 โดยมีสัดส่วนรายได้การส่งออก 60% และจำหน่ายภายในประเทศ 40% โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าให้ ผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งพร้อมทานทุกแบรนด์ของบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 50% ของรายได้บริษัทฯ
“ตลาดอาหารแช่แข็งพร้อมทาน มองว่ายังเป็นตลาดที่เล็กอยู่มาก ความต้องการของตลาดมีค่อนข้างสูง ทำให้มีอัตราการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันภาพรวมของบริษัทฯก็น่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 30-35%”
สำหรับแผนงานในอนาคต บริษัทฯจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเป็นซีรี่ส์ เฮลท์ ฟู้ด สำหรับกลุ่มคนรักสุขภาพ เช่นกลุ่มสมาร์ท เว็ดเจ็ทเทอเรียน(Smart Vegetarian), สมาร์ท ซุป(Smart Soup), และสมาร์ท ไดเอ็ท(Smart Diet) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม จากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะเนื้อสัตว์ เนื่องจากอาหารที่นำมาใช้ในการเลี้ยงสัตว์ทั้งข้าวโพด ถั่วเหลืองมีราคาค่อนข้างสูง บริษัทฯยืนยันจะยังไม่มีการขึ้นราคาสินค้าภายในปีนี้เพราะจะเป็นการผลักภาระให้กับผู้บริโภค โดยจะหันมาปรับตัวภายในองค์กรแทน ทั้งการลดต้นทุนในการใช้จ่ายภายในองค์กร และการขนส่งสินค้าให้เต็มกำลังการขนส่งสูงสุด เพื่อประหยัดต้นทุน ทั้งนี้ หากจำเป็นจะต้องมีการปรับราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นก็คงต้องปรับ
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|