เมื่อปี 2510 นิติศาสตร์บัณฑิตหนุ่มจากรั้วธรรมศาสตร์คนหนึ่งได้สัญญากับคนรักของเขาว่าจะไม่รับราชการอย่างเด็ดขาดในชีวิตของเขา
ในคืนวันฉลองปริญญาที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ภาคภูมิและแสนจะโรแมนติคคืนนั้น
นิติศาสตร์หนุ่มคนนั้นก็คือ เอนก ศรีสนิท หนุ่มใหญ่วัย 42 ปี ประธานกรรมการสำนักงานที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศ
เอนกเดนตันฮอลล์ (ANEK-DENTON HALL INTERNATIONAL LEGAL CONSULTANTS) ซึ่งมีทรัพย์สินรวมไม่น้อยกว่า
200 ล้านบาท และมีเป้าหมายรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 20 ล้านบาท
เอนกเริ่มต้นอาชีพทนายความของเขาโดยเป็นที่ปรึกษากฎหมายประจำบริษัทดิลลิ่งแฮมฟาร์อีสต์
ซึ่งเป็นบริษัทรับสร้างและบริหารสนามบินอู่ตะเภาในยุคที่ฐานทัพอเมริกาในไทยกำลังเฟื่องฟู
"ผมว่ามันเป็นพื้นฐานสำคัญทีเดียวที่ผมหันมาเป็นทนายความที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศในทุกวันนี้ก็คงเป็นเพราะจุดนั้น"
เอนกกล่าว
เอนกต้องเข้าไปเกี่ยวข้องและดำเนินการด้านพิธีการ และขออนุญาตต่าง ๆ ให้แก่บริษัทซึ่งเป็นบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาทำมาหากินในเมืองไทย
รวมไปถึงการขออนุญาตให้แก่บุคคลต่างชาติต่าง ๆ ที่ทางบริษัทส่งเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการขออนุญาตอยู่อาศัยและทำงานในเมืองไทย
พิธีการทางภาษีและแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ฐานทัพอเมริกากำลังจะถอนทัพออกจากเมืองไทยไปนั้น
มีเรื่องที่จะต้องดำเนินการมากมาย เขาบอกว่ามีกระทั่งการขออนุญาตขน และเคลื่อนย้ายอาวุธและวัตถุระเบิด
เมื่อสนามบินอู่ตะเภาปิดลงเอนกได้รู้จักฝรั่งชาวเยอรมันคนหนึ่งชื่อ ครูเกอร์จึงได้เข้าหุ้นกันตั้งสำนักงานกฎหมายขึ้นในปี
2513
ครูเกอร์เป็นนักกฎหมายชาวเยอรมันที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
พวกสิทธิบัตรและลิขสิทธิ์ต่าง ๆ เขาเข้ามาในเมืองไทยในฐานะตัวแทนที่ปรึกษากฎหมายของตลาดร่วมยุโรปหรืออีอีซี
ประจำประเทศไทยเขาจึงเป็นนักกฎหมายคนแรกที่ร่วมกับเอนกผลักดันให้มีการออกกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
ในประเทศไทย
เอนกบอกว่าการเริ่มต้นกับครูเกอร์เปิดสำนักงานครูเกอร์แอนด์ อะโซซิเอทส์
เริ่มด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 100,000 บาทเท่านั้น โดยครูเกอร์เป็นคนลงหุ้นด้วยเงินสดจำนวน
50,000 บาท แต่เขาลงหุ้นด้วยแรงตีค่าเป็นเงิน 50,000 บาทเท่ากัน
จากการทำงานกินเงินเดือนประจำเขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ลงทุนและบริหารกิจการเองในชีวิตที่เพิ่งประกอบอาชีพนี้ได้เพียง
2 ปี เอนกรับผิดชอบในการดำเนินการทั้งหมดนับตั้งแต่การจดทะเบียนบริษัท ลิขสิทธิ์
สิทธิบัตร ขอใบอนุญาตประกอบการทางธุรกิจต่าง ๆ ให้แก่ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในเมืองไทย
ซึ่งทำให้เขายิ่งกว้างขวางมากขึ้นทั้งในแง่ของการให้บริการที่หลากหลายขึ้น
การมีความคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐในงานที่เขาให้บริการแก่ลูกค้า
และปริมาณของลูกค้าก็มีมากขึ้น
กิจการของสำนักงานครูเกอร์ แอนด์ อะโซซิเอทส์ ดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีกำไรพองามแต่น่าเสียดายที่เพียงปีเดียวต่อมาชีวิตของเขาต้องมาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งเมื่อครูเกอร์เสียชีวิตลง
ในขณะที่มีพนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 6 คนแล้ว
"ในขณะที่ครูเกอร์เสียชีวิตลงนั้นเราเริ่มมีรายได้ที่ดี จากที่ผมทำงานเพียงคนเดียวก็มีพนักงานเช้ามาช่วยงานถึง
6 คน ซึ่งจะทำต่อไปก็ได้ผมมีความเชื่อมั่นว่าทำได้ แต่พวกเรา 5-6 คนไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นว่าจะทำได้เลยปิดกิจการลง
ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทางสำนักงานควาร์ซ่ากำลังต้องการคนและติดต่อมาทางผม
ผมก็เลยต่อรองเอาพรรคของเราเข้าไปทั้งทีม" เอนกเล่าถึงจุดต่อสำคัญในชีวิตทนายความของเขาอีกช่วงหนึ่ง
ปี 2514 เอนก และทีมงานเข้าไปร่วมงานกับสำนักงานควาร์ซ่า ซึ่งเป็นสำนักงานของชาวฟิลิปปิ้นส์ที่เข้ามาเปิดสาขาในเมืองไทย
โดยเริ่มจากทนายความธรรมดาจนถึงปี 2520 เขาจึงได้รับความไว้วางใจให้ขึ้นเป็นหุ้นส่วนและมีตำแหน่งเป็นกรรมการผั้ดการและผู้จัดการสำนักงานในประเทศไทย
ที่ควาร์ซ่าทำให้ อเนก ศรีสนิท ได้รับประสบการณ์ที่กว้างขวางมากขึ้นทั้งในรูปแบบของการให้บริการที่ปรึกษากฎหมายแก่ชาวต่างประเทศ
ซึ่งหลากหลายมากขึ้น และประสบการณ์ในการบริหารคนซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน
ปัญหาที่เอนกประสบด้วยตนเองในการทำงานร่วมกับสำนักงานต่างชาาติที่เข้ามาเปิดสำนักงานเมืองไทยคือเขาไม่เคยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่คนไทย
ไม่เคยมีแผนงานที่จะพัฒนาทนายความคนไทยในสำนักงาน ตลอดทั้งไม่ส่งเสริมความก้าวหน้าในอาชีพการงานจึงปรากฎว่ามีทนายความเข้ามาทำงานในระยะสั้น
ๆ แล้วลาออกไปสูงมาก เขาจึงเหนื่อยอยู่กับการฝึกคนทำงานรุ่นแล้วรุ่นเล่าเมื่อเป็นงานแล้วก็ออกไป
ซึ่งจะโทษทนายก็ไม่ได้ เพราะนายจ้างไม่มีสิ่งที่เขาหวังในเขาเลย
"ผมจึงเสนอให้มีการปรับปรุงการบริหารและแผนการพัฒนาทนายความไปยังควาร์ซ่าที่ฟิลิปปินส์
ปรากฏว่าเขาไม่เอาด้วยกับผมหลายครั้ง ผมเลยยื่นคำขาดว่าถ้าไม่ปรับปรุงก็จะขอลาออก
ซึ่งเขาเลือกเอาทางยอมให้ผมออก ผมก็ออกมาโดยเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรให้เขาว่าผมจะไม่เอาลูกความและพนักงานติดตัวออกไปด้วนแม้แต่คนเดียว
ผมจึงได้เดินออกมาตั้งแต่วันนั้น" เอนกเล่าถึงอดีตของเขาด้วยท่าทีที่ราบเรียบแต่หนักแน่นตามแบบฉบับของเขา
รวมเวลาที่เขาทำงานให้แก่ควาร์ซ่าถึง 10 ปีพอดี
เอนกเป็นคนที่ใจเย็นสุภาพเรียบร้อย นบน้อมถ่อมตน แต่มีเสน่ห์ภูมิฐานน่าเชื่อถือสมกับอาชีพที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศที่ได้ซึมซับเอาวัมนธรรมนักกฎหมายต่างประเทศมาได้อย่างแนบแน่น
แต่คนใกล้ชิดของเอนกเองบอกว่าเวลางานเขาเป็นคนที่เอาจริงเอาจังมาก กับลูกน้องเขาจะเป็นคนที่เคร่งครัดในระเบียบวินัยอย่างฉกาจ
และกับครอบครัวนั้นเขาเป็น FAMILY MAN อย่างสมบูรณ์
การเริ่มต้นอีกครั้งของเราคือเปิดสำนักงานเอนก แอนด์ อะโซซิเอทส์ ด้วยทุน
500,000 บาท เป็นของเขาคนเดียว จ้างเลขาและพนักงานรับส่งเอกสารเข้ามาช่วยงานใหม่เพียง
2 คน โดยเช่าตึกสำนักงานที่ซอยสมประสงค์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่เมื่อปี 2525
เอนกบอกว่าเงิน 500,000 บาทนั้นคือเงินที่เขาสะสมมาจากการประกอบอาชีพของเขาล้วน
ๆ
ในยุคที่การค้าและการลงทุนของชาวต่างชาติได้หลั่งไหลเข้ามาเมืองไทยอย่างมากมายมหาศาลเกิดนิติกรรมสัญญาที่จะต้องใช้นักกฎหมายขึ้นมากเป็นเงาตามตัว
แต่ปรากฎว่างานบริการทางด้านนี้กลับไปตกอยู่ในมือของทนายความต่างประเทศกันหมด
ส่วนทนายไทยนั้นยังคงวุ่นวายอยู่กับการให้บริการการต่อสู้ดำเนินคดีกันในโรงในศาลกันเสียส่วนใหญ่
ทั้งนี้เพราะกลไกการตลาดบริการด้านนี้ได้ตกอยู่ในมือของชาวต่างชาติกันหมด
นอกจากนั้นยังเกิดจากการตื่นตัวของทนายไทยที่จะพัฒนาตนเองมาทางด้านนี้มีน้อย
ทั้งในด้านภาษาวัฒนธรรมและความรู้ความเข้าใจในกฎหมายระหว่างประเทศ และที่สำคัญผู้รักษากฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวในการให้การคุ้มครองอาชีพทางด้านนี้ไม่เคยดูแลว่ามีการละเมิดกฎหมายกันอย่างไร
ทั้งไม่คิดที่จะปรับปรุงแก้ไข แม้แต่สภาพทนายความเองก็ยังไม่เคยเห็นหยิบยกปัญหานี้ขึ้นมาพุดคุยกันมากไปกว่าเรื่องที่จะเอาชนะคะคานกัน
ในเรื่องผลประโยชน์ระหว่างกรรมการในสภาด้วยกัน
กฎหมายไทยในปัจจุบันแม้จะไม่อนุญาตให้ทนายความและสำนักกฎหมายต่างด้าวเข้ามาทำมาหากินในเมืองไทยเช่นอาชีพสงวนสำหรับคนไทนในสาขาอื่น
ๆ แต่ปรากฎว่ามีสำนักงานกฎหมายของชาวต่างชาติเข้ามาเปิดให้บริการอย่างองอาจเปิดเผยอยู่กว่า
20 แห่ง ยังไม่รวมถึงที่หากินกันอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ ทั้งที่แฝงตัวอยู่ในแผนกกฎหมายของบริษัทขนาดใหญ่
บริษัทที่ปรึกษาทางการค้าและการลงทุน รวมถึงการเข้ามาในรูปของมูลนิธิและกองทุนต่าง
ๆ กระทั่งบริษัทนักสืบที่หากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันอีกนับเป็นร้อย ๆ แห่งในขณะนี้
โดยมีคนไทยบางคนยอมเป็นเครื่องมือของคนต่างด้าวเหล่านั้นอย่างออกหน้าออกตา
"นักกฎหมายรวมถึงผู้เชี่ยวชาญในด้านอื่น ๆ ด้วยที่แฝงตัวเองเข้ามาในรูปแบบต่าง
ๆ ถ้าเปรียบกับสงครามสมัยก่อนมันก็คือไส้ศึกดี ๆ นี่เอง พวกเหล่านี้รู้ไส้รู้พุงเมืองไทยดีกว่านไทยของเราเองเสียอีกในขณะที่เราไม่ค่อยจะรู้เรื่องของเขาเลย
ไม่ทราบเป็นเพราะอะไรรัฐบาลไทยจึงไม่ดูแลควบคุมพวกนี้อย่างจริงจัง"
ผู้สันทัดกรณีคนหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ" อย่างน่ากลัว
เอนกพูดถึงกรณีเดียวกันนี้ว่า นอกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เอาใจใส่ควบคุมดูแลอย่างจริงจังแล้ว
เขายังเห็นว่ามันเกิดขึ้นเพราะความเปราะบางของนักกฎหมายไทยเองด้วยนักกฎหมายไทยนอกจากจะอ่อนด้อยทางด้านภาษาและวัฒนธรรมต่างชาติแล้ว
ยังเป็นกลุ่มอาชีพที่ไม่มีการตื่นตัวที่จะพิทักษ์ผลประโยชน์ของตัวเอง
เขายอมรับว่าสัญญาทางการค้าและการลงทุนที่ผู้ประกอบการไทยทำขึ้นกับชาวต่างชาตินั้น
ลอกเลียนที่พิมพ์มาแล้วเรียบร้อยจากต่างประเทศไม่เคยได้รับการตรวจสอบและรับรองโดยนักกฎหมายไทยเลย
"ผู้ประกอบการของเราบางคนเซ็นสัญญากันแล้วเรียบร้อยยังไม่รู้ว่าสัญญานั้นมีสาระสำคัญว่าอย่างไร
เซ็นไปแล้วค่อยเอามาให้ทนายแปลให้ก็มีหรือร้ายยิ่งกว่านั้นจนเกิดมีการเบี้ยวกันขึ้นมาจึงค่อยมาเปิดเอาสัญญามาดู
ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นสัญญาที่เสียเปรียบเขาทกที" อเนก ศรีสนิท กล่าวเสริม
ในขณะที่มาตรการให้การคุ้มครองผู้ประกอบการในการรับรองสัญญาโดยนักกฎหมาย
หรือรัฐบาลไทยนั้นยังไม่เกิดขึ้นทางด้านนักกฎหมายไทยที่พอจะรู้เรื่องกฎหมายด้านนี้ก็เพียงน้อยนิดเต็มที
ในบรรดาทนายความเมืองไทยร่วม 30,000 คน ปรากฏว่ามีทนายความสัญชาติไทยที่ทำมาหากินในด้านนี้เพียง
2000 กว่าคนเท่านั้นเอง และส่วนใหญ่ก็เป็นลูกจ้างในสำนักงานของชาวต่างชาติ
อเนก ศรีสนิท คือคนในจำนวนอันน้อยนิดนั้นตัดสินใจกระโดดออกสร้างสำนักงานปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศของไทยแท้
ๆ อย่างท้าทายและเสี่ยงต่อการล้มเหลวเป็นอย่างยิ่ง
ถึงวันนี้เขาได้ต่อสู้มายาวนานถึง 7 ปี ถ้าจะเรียกว่าความพร้อมทั้งทางด้านการเงิน
การทอง และการบริหารงานภายในของเขาในวันนี้คือสิ่งที่จะอ้างอิงถึงความสำเร็จของเขาได้
ก็เรียกได้ว่าเขาประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง ซึ่ง "ผู้จัดการ"
ประเมินค่าทรัพย์สินที่เป็นทั้งอาคารสถานที่ วัสดุอุปกรณ์และคน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญอย่างมากในธุรกิจประเภทนี้จำนวนร่วม
60 คนในสำนักงานของเขาแล้วถ้าจะน้อยกว่า 200 ล้านบาท ก็คงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
เอนกย้ายสำนักงานเอนก แอนด์ อะโซซิเอทส์ ซึ่งอยู่ในห้องแถวย่านเพชรบุรีตัดใหม่
ขึ้นอยู่บนทาวเวอร์ใจกลางย่านธุรกิจของประเทศอย่างถนนสุรวงศืเมื่อต้นปี 2531
ที่ผ่านมาด้วยทุนเริ่มต้น 3 ล้านบาท เพียงไม่ข้ามปีเขาตัดสินใจซื้อชั้น 19
ของอาคารวอลท์สตรีททาวเวอร์ที่เขาเช่าอยู่นั้นในราคา 16 ล้านบาท และเริ่มต้น
พ.ศ.ใหม่ในปี 2532 ที่ผ่านมาเขาตัดสินใจซื้อเพิ่มให้เต็มทั้งชั้นอีก 6 ล้านบาท
เอนกยอมรับว่าเขาจะต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 15 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป้ารายได้ของเขาจะต้องไม่ต่ำกว่า
30 ล้านบาทต่อปี
เขาบอกว่าเงินทุนทั้งหมดเป็นเงินที่เขาหามาได้จากอาชีพนี้เพียง 30% นอกนั้นกู้ธนาคาร
อเนก ศรีสนิท ในวัย 43 ปี เขาก้าวเข้าสู่หนุ่มใหญ่เช่นเดียวกับประสบการณ์ที่เขาได้สั่งสมมาเป็นเวลายาวนานและหลายรูปแบบ
การเดินไปข้างหน้าของเขาคราวนี้จึงเป็นฝ่ายต่อมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายรอง
"เมื่อเราโตแล้วก็มีสำนักกฎหมายในต่างประเทศติดต่อมาขอร่วมทุนหลายราย
ซึ่งตรงกับความคิดของผมอยู่พอดีหลังจากผมใช้เวลาเลือกผู้ที่จะร่วมลงทุนอยู่นานผมจึงตัดสินใจเอากับสำนักงานกฎหมายเดนตันฮอลล์
(DENTON HALL BURAIN & WARRENS) แห่งประเทศอังกฤษ ซึ่งมีอายุการก่อตั้งมานานกว่า
100 ปี มีสำนักงานเปิดให้บริการอยู่ทั่วโลก แต่เพิ่งเข้ามาในย่านตะวันออกไกลเมื่อปี
2519 โดยตั้งสำนักงานสาขาที่ฮ่องกง สิงคโปร์ และโตเกียว" เอนกกล่าว
สิ่งที่เอนกบอกว่ากำลังคิดอยู่นั้นคือแผนการพัฒนาคนและสำนักงานให้ขั้นเท่าเทียมสากล
การกลับไปร่วมกับสำนักงานต่างประเทศคราวนี้เอนกเป็นฝ่ายเลือก โดยเสนอเงื่อนไขคือจะต้องมีการถ่ายทอดความรู้ให้ทนายคนไทยอย่างต่อเนื่องโดยจะต้องรับทนายฝ่ายไทยไปทำงานในประเทศอังกฤษอย่างน้อยปีละ
3 คน ต้องส่งคนที่มีความชำนาญเฉพาะด้านเข้ามาร่วมทำงานในไทยเป็นการประจำ
จะต้องส่งฤอร์ฟแวร์ที่ใช้ในสำนักงานต่างปรเทศทั้งหมดเข้ามาใช้และถ่ายทอดให้ฝ่ายไทยได้เรียนรู้
รวมทั้งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ จะต้องมีการสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง
"ทางเดนตันฮอลล์เขายินดีตามเงื่อนไขที่ผมเสนอ แล้วผมก็เดินทางไปดูการทำงานของเขาด้วยตนเองหลายสัปดาห์จึงได้ตัดสินใจทำสัญญาร่วมลงทุนกันขึ้น
เพราะผมคิดแล้วว่าต้องได้ตามเงื่อนไขที่ผมเสนอเท่านั้นทนายไทยถึงจะพัฒนาขึ้นไปสู่ระดับนานาชาติเขาได้"
เอนกพูดกับ "ผู้จัดการ" ด้วยสีหน้าของผู้กำชัยชนะ หลังจากสำนักงานเอนกแอนด์อะโซซิเอทส์ของเขาได้เปลี่ยนชื่อเป็น
"อเนก-เดนตันฮอลล์" อย่างเท่าเทียมกัน