โธ่ เสรีอีกแล้ว


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2533)



กลับสู่หน้าหลัก

เสรี ที่ว่านี้ ไม่ใช่เสรี ทรัพย์เจริญ คนดังวงการค้าหุ้นจากบริษัทราชาเงินทุนในอดีต แต่เป็นเสรี จินตนเสรี กรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์พาราพัฒนา ที่กำลังจะอำลาสิ้นเดือนมกราคมนี้

เสรี อายุ 48 ปีแล้ว จบเนติบัรฑิตทางกฎหมายจากอังกฤษเคยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับบริหารในงานกฎหมายของแบงก์ชาติอยู่ 3 ปี ก่อนที่จะย้ายมาเป็น DEPUTY REPRESENTATIVE OFFICER ของธนาคารเนชั่นแนลเดอ ปารีส (B N P) แห่งฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯ

เสรีอยู่ B N P เกือบ 4 ปี ก็ย้ายมาอยู่ไทยพาณิชย์ในฝ่ายธนาคารต่างประเทศแล้วค้าเงินกับยศชั้น VICE PRESIDENT แต่ประมาณ 3 ปี มีโอกาสเป็น SENIOR VICE PRESIDENT แต่ก็ไม่ได้เป็น ก็เลยลาออกเอาดื้อ ๆ ด้วยความเสียใจ ก็พอดีกลุ่มบรรษัทเงินุทนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้ามาถือหุ้น 40% ในบงล. พารา ของกลุ่มอื้อ จือเหลียง ยุคยอดยิ่ง เอื้อวัฒนสกุลเป็นพี่ใหญ่ซึ่งถือหุ้นอยู่ 40% และบรรษัทก็ส่งจักรทิพย์ นิติพนเข้ามาเป็นกรรมการ

จักรทิพย์ ต้องการบุคคลที่สามเป็นคนกลางเข้ามากุมบังเหียน บงล.พาราแทนคนของยอดยิ่งที่เกษียณไป คือไกรสิทธิ์ พิศาลบุตร และก็ไปชักชวนเสรีให้มานั่งเป็นกรรมการผู้จัดการที่บงล.พารา มีอำนาจอนุมัติสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท

"บอร์ดบริหารมี 4 คนคือผมจักรทิพย์ (ปัจจุบันคือ อโนทัย เตชะมนตรีกุล) ยอดยิ่ง และภรรยา" เสรีพูดถึงโครงสร้างอำนาจบริหารบริษัทให้ฟัง

ก่อนหน้าที่เสรีจะเข้าไปทำที่พารา บริษัทแห่งนี้มีปัญหาพื้นฐาน 3 ประการคือ หนึ่ง - ไม่มีการพัฒนาบุคคลในองค์กรให้มีความรู้ ความชำนาญในอาชีพธุรกิจการเงินและค้าหลักทรัพย์ สอง - ไม่มีการบริหารระบบการควบคุมงานด้านสินเชื่อและระบบงานที่ทันสมัย และสาม - ไม่มีการลงทุนในเทคโนโลยีบริหารงานภายใน

เมื่อเสรีเข้าไปก็เริ่มปรับปรุงและแก้ไขปัญหาพื้นบาน 3 ข้อนี้ทันที โดยใช้ทุนดำเนินการประมาณ 10 ล้านบาท ขณะเดียวกันในการปรับปรุงธุรกิจก็ทำ 2 ด้านพร้อมกันไปคือ ด้านหนึ่งเสรีนำแบบการควบคุม และคำขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ทันสมัยกว่าอย่างไทยพาณิชย์ ที่เขาเคยร่วมงานด้วยมาผสมผสานประยุกต์ใช้กับธุรกิจบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการให้ความสำคัญจุดนี้เลย อีกด้านหนึ่ง เสรีมี IFCT หรือบรรษัทเป็นตัวหนุนอยู่ข้างหลังในฐานะผู้ถือหุ้นการเดินหน้าขยายฐาน LIABILITITES เพื่อไว้ใช้ในการขยายฐาน ASSET (สินเชื่อ) เป็นสิ่งที่เสรีทำอย่างรีบด่วน "แต่ก่อนวงเงิน CALL LOAN จาก INTERBANK มีประมาณ 100 ล้านบาท มาเดี๋ยวนี้พุ่งเป็น 600 ล้านบาท ซึ่งก็ไม่ได้ใช่มาก เราเพียงแต่ตั้งไว้ในยามจำเป็น" เสรีกล่าวถึงผลการสร้างฐานหนี้สิน (LIABILITIES) เพื่อเป็นแหล่งระดมเงินในการปล่อยสินเชื่อที่กว้างขึ้น

การขยายฐาน CALL LOAN จากตลาด INTERBANK เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการยอมรับในเครดิตผู้บริหารและสถานะทางการเงินของบริษัทในสายตาผู้ประกอบธุรกิจการเงินด้วยกัน ขณะเดียวกันก็เท่ากับเป็นการบริหารหนี้สินที่มีต้นทุนต่ำกว่าวิธีการระดมเงินทุนจาก O.D. ที่ผู้บริหารยุคก่อนใช้เป็นประจำ

เสรีเป็นนักกฎหมาย เป็นนักการเงิน ที่ยึดมั่นในหลักการบริหารแบบมีระบบแบบแผนที่ถูกต้องตามจริยธรรมแบบนักกฎหมาย สิ่งนี้เป็นจุดอ่อนที่ทำให้เขาขัดแย้งอยู่บ่อยครั้งในบอร์ดรูมกับยอดยิ่งและภรรยาซึ่งมีวิธีการบริหารแบบเก่า ๆ มีตัวอย่าง อย่างน้อย 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เหตุการณ์แรก เป็นเรื่องการให้สินเชื่อที่เสรีถูกยอดยิ่งเข้าแทรกแซง โดยเฉพาะกรณีที่สินเชื่อที่ขอมานั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะผู้ขอเป็นเพื่อน หรือคนรู้จักและอาศัยเหตุนี้เป็นช่องทางพิเศษในการขออนุมติจากเสรี "ครั้งหนึ่งมีขอมาไม่ถึง 1 ล้านบาทด้วยซ้ำ แต่ว่ากันว่าเสรีไม่เห็นด้วย เพราะวิเคราะห์ดูแล้วเสี่ยงเกินไปจึงปฏิเสธ แต่ผู้กู้มีเส้นสายกับยอดยิ่งก็ขอให้ทางยอดยิ่งมาล็อบบี้ขอไว้กับเสรีทางเสรีเป็นคนแข็งยอมหักไม่ยอมงอด้วย ก็ขัดแย้งกัน ทางยอดยิ่งก็ควักกระเป๋าส่วนตัวให้กู้ไปเอง" แหล่งข่าวในบงล.พาราพัฒนาเล่าให้ฟัง "ผู้จัดการ" ฟัง

เหตุการณ์ที่สอง เป็นเรื่องการปรับปรุงสถานที่ให้สำนักงานเสรีอนุมัติให้ใช้ถังแซทส์ เป็นภาชนะในการเก็บและปรับหมุนเวียนในห้องสุขภัณฑ์ วงเงินไม่กี่หมื่นบาท แต่ยอดยิ่งในฐานะกรรมการและประธานกรรมการบริหารไม่เห็นด้วย เนื่องจากแพงเกินไปไม่จำเป็น ใช้ท่อพักบ่อซึมธรรมดาก็พอ ว่ากันว่าเหตุที่ยอดยิ่งไม่เห็นด้วย เพราะไม่รู้จักถังแซทส์ว่ามันคืออะไร

เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ผู้บริหารระดับสูงระดับประธานบริหารลงมายุ่งเรื่องเพียงแค่นี้ และผลถึงกับทำให้ต้องมานั่งขัดแย้งกันแม้ในที่สุดจะเข้าใจกันได้ แต่สำหรับเสรีแล้วเขารู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงในบรรยากาศแบบนั้น แม้เสรีจะยืนยันว่า เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม

ผลงานปีแรกของเสรีแสดงออกมาชัดว่า ฐานเงินกองทุนขยับสูงขึ้นจาก 64 ล้านบาทเป็น 130 ล้านบาท กำไรสุทธิก่อนหักภาษี ขยับจาก 5 ล้านบาท เป็น 16 ล้านบาท "16 ล้านบาทที่กำไรมา ความจริงน่าจะได้มากกว่านี้ ถ้าไม่โชคร้ายในธุรกิจหลักทรัพย์ที่เราไปรับอันเดอร์ไรน์หุ้น ไอเอฟซีที และเอเซียไฟเบอร์ ซึ่งมันตกลงมาจากราคาขายตอนแรกซึ่งตั้งไว้ที่ 220 บาท (IFCT) แต่มาเหลือแค่ 110 บาท ณ วันที่เราปิดงบบัญชี มันอยู่เหนือการควบคุม เนื่องจาก IFCT ถูกมรสุมการเมืองเล่นงานในปัญหาการเข้ารับภาระผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน" เสรีเล่าถึงผลกำไรที่น่าจะได้มากกว่านี้

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ในปีถัดมา ผลกำไรสุทธิก่อนหักภาษีจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านบาท แต่สิ่งที่เสรีภูมิใจในผลงานของตัวเองคือการได้วางรากฐานระบบบริหารภายในและการพัฒนาคน ในบริษัทให้มีความเป็นมืออาชีพ ซึ่งเขาได้ทุ่มมา 2 ปีเต็ม "มันเป็น HIDDEN VALUE ที่จะตอบแทนออกมาในระยะยาวแก่บริษัท" เสรีกล่าวถึงคุณค่าของมัน

เสรีได้ลาออกจากบงล.พาราพัฒนาแล้ว โดยแจ้งถึงการตัดสินใจครั้งนี้แก่กรรมการเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ มันเป็นบทเรียนที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสังคมธุรกิจไทย ที่วัฒนธรรมแบบธุรกิจครอบครัวยังฝังแน่นอยู่ จนมืออาชีพคนแล้วคนเล่าเข้าไปได้สักเวลาหนึ่งก็ต้องถอยออกมา ดังที่ก่อนหน้านี้ราวต้นปี 2531 นุกูลประจวบเหมาะ ก็ถอยออกมาจากสยามกลการ หลังจากอยู่ที่นั่นมาได้เพียงปีเศษ ๆ เท่านั้น

แม้การถอยออกจากองค์กรที่ตนเองสร้างสรรค์ขึ้นมา อย่างน่าเสียดายจะไม่ช่ครั้งแรกของเสรี เพราะก่อนหน้านี้ 3 ปีเขาก็ถอยออกมาแล้วจากไทยพาณิชย์อย่างเจ็บปวดด้วยเรื่องของศักดิ์สรีและความยุติธรรมในการประเมินค่าของผลงานจริงอยู่คนอย่างเสรี ความรู้ประสบการณ์นับ 10 ปี ในแวดวงฎหมายและธนาคารมากพอจะทำให้เขาใช้ความรู้ประสบการณ์นั้นทำมาหากินให้กับตนเองได้สบาย ๆ ดังที่เขาบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่าผมกำลังเปิดบริษัทเสรีกรุ๊ปเอสโซซิเอท ทำธุรกิจที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ประเมินราคาที่ดิน ไปจนถึงพัฒนาโครงการ แต่บทเรียนมืออาชีพที่เกิดกับเสรีก็เป็นละครฉากใหญ่อีกฉากหนึ่ง ในสังคมบริหารธุรกิจไทย ที่ผู้กำลังไต่เต้าบันไอมืออาชีพต้องระวังตัวให้สูง เนื่องจากยังมีหนามเสี้ยนของความเป็นจารีตอยู่มากมาย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.