|
บิ๊กเหล็กควบกิจการหมดยุคราคาถูก
ผู้จัดการรายวัน(18 ตุลาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
สหวิริยาสตีลฯฟันธงราคาเหล็กถูกไม่มีให้เห็น หลังเกิดการควบรวมกิจการของยักษ์ใหญ่วงการเหล็กทำให้ซัปพลายลดลง และราคาพลังงานที่สูงขึ้น ด้านวิกฤตเหล็กแท่งส่อเค้ายืดเยื้อ2ปีจนกว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา แนะรัฐบาลเร่งสนับสนุนอุตสาหกรรมต้นน้ำให้เกิดขึ้นหลังคู่แข่งอย่างเวียดนามจี้ก้น
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน)(เอสเอสไอ) เปิดเผยสถานการณ์วิกฤตเหล็กแท่งว่า การควบรวมกิจการของบริษัทผู้ผลิตเหล็กยักษ์ใหญ่ของโลกในช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีปริมาณการผลิตเหล็กลดน้อยลง รวมทั้งจีนมีการจำกัดการส่งออกเหล็กแท่ง โดยอุดหนุนการส่งออกเหล็กขั้นปลายแทน ส่งผลให้ราคาเหล็กสำเร็จรูปกับเหล็กขั้นกลางใกล้เคียงกันมาก เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะต่อเนื่องไปอีก 1.6 -2 ปีข้างหน้าจนกว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่จากรัสเซีย และบราซิลเข้ามา ทำให้สถานการณ์เหล็กเข้าสู่ภาวะปกติ
ปัจจุบันราคาเหล็กแท่งทรงยาวอยู่ที่ตันละ 590 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เหล็กแท่งทรงแบนอยู่ที่ 560-570 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนอยู่ที่ 600 กว่าดอลลาร์สหรัฐ/ตัน โดยมีส่วนต่างระหว่างวัตถุดิบกับผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (แก็ป)สูงถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน
สำหรับราคาเหล็กเชื่อว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกหลายปี เนื่องจากมีการควบรวมกิจการผู้ผลิตเหล็กจำนวนมาก และวัตถุดิบก็ตกอยู่ในมือผู้ผลิตเพียงไม่กี่ราย รวมถึงราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นผู้บริโภคคงต้องยอมรับสภาพว่าราคาเหล็กจะไม่ต่ำเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว
จากราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นนี้เอง ทำให้ไทยในฐานะประเทศผู้นำเข้าเหล็กเสียโอกาส เนื่องจากไทยไม่มีอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ หรือโรงถลุงเหล็ก ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลไทยควรให้ความสนใจและผลักดันให้เกิดขึ้น เพราะประเทศคู่แข่งอย่างจีนและอินเดียล้วนแต่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ตั้งโรงงานรัฐบาลก็จะดำเนินการเวนคืนที่ดินให้ รวมถึงระบบสาธารณูปโภค ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศดังกล่าวมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว
หรือแม้แต่ เวียดนามก็จะกลายเป็นคู่แข่งของไทยในอนาคต เนื่องจากรัฐบาลเวียดนามมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล็กครบวงจรที่ชัดเจน มีการจัดสรรที่ดิน และให้สิทธิประโยชน์ รวมทั้งประเทศเวียดนามยังมีแร่เหล็ก ถ่านหิน น้ำมันและก๊าซฯ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไทยจะเสียเปรียบเรื่องการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่บริษัทฯเชื่อว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมเหล็กแล้วสุดท้ายอยู่ที่ต้นทุนของโครงการ ซึ่งไทยมีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคไปถึงระดับหนึ่ง รวมทั้งเทคโนโลยี บุคลากรมีความรู้ความสามารถ ทำให้อุตสาหกรรมนี้พัฒนาต่อไปได้
นายวิน กล่าวต่อไปว่า จากวิกฤติเหล็กแท่ง ทางสหวิริยาสตีลฯหันไปเน้นการผลิตเหล็กคุณภาพพิเศษแทนเพื่อหนีการแข่งขันเหล็กแผ่นคุณภาพทั่วไป หรือเหล็กก่อสร้าง เพื่อจะได้ไม่ต้องแข่งขันกับเหล็กราคาถูกจากจีน ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีการผลิตเหล็กคุณภาพพิเศษคิดเป็น 50%ของรายได้รวม ส่วนจะมีการเพิ่มสัดส่วนการผลิตเหล็กคุณภาพพิเศษมากกว่านี้จำเป็นต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติม ซึ่งบริษัทได้มีการปรับปรุงเทคโนโลยีมาโดยตลอด
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|