"พรีเมียร์กรุ๊ป" เป็นชื่อของกลุ่มธุรกิจที่ได้รับการอ้างอิงอยู่เสมอมาว่า
เป็นบริษัทในเครือ "โอสถสภา (เต็กเฮงหยู)" ทั้งที่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ความเข้าใจเช่นนี้ถูกปกคลุมด้วยความเงียบตามสไตล์การทำงานของผู้บริหาร แต่มาวันนี้ด้วยปัจจัยที่เปลี่ยนไป
และการปรากฏตัวที่ชัดเจนของเขยคนโตแห่งตระกูล "โอสถานุเคราะห์"
ทำให้พรีเมียร์กรุ๊ปต้องปรับตัวครั้งใหญ่ พร้อมรับกับการก้าวกระโดดที่ท้าทายต่อธุรกิจโลกในอนาคต
!
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ดร.เสนาะ อูนากูล อดีตเลขาธิการสภาพัฒน์ และประธานคณะกรรมการบริหารธนาคารเอเชีย
ประกาศว่า ตัวท่านจะเข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารของพรีเมียร์กรุ๊ป
โดยให้เหตุผลว่า กลุ่มนี้เป็นกลุ่มของคนหนุ่ม มีการบริหารที่ทันสมัยและเป็นบริษัทที่มีอนาคตแจ่มใส
เวลาไล่เรี่ยกันนั้น มีการออกข่าวว่า พรีเมียร์กรุ๊ปได้แยกออกจากโอสถสภา
(เต็กเฮงหยู) อย่างชัดเจน และเป็นการแยกกันระหว่างสุรัตน์และเสรี โอสถานุเคราะห์
นับเป็นการปรับเปลี่ยนที่น่าสนใจไม่น้อย ความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่า พรีเมียร์กรุ๊ปเป็นบริษัทในเครือ
หรือเป็นเพียงมาร์เก็ตติ้งอาร์มให้กับโอสถสภากำลังจะเปลี่ยนไปและต้องได้รับการอธิบายประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนกว่าที่เคยเป็นมา
หากสุวิทย์ โอสถานุเคราะห์ ผู้ล่วงลับได้รับทราบความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
เขาคงดีใจเป็นทับทวี เพราะเมื่อไม่นานมานี้ เขยของเขาคนที่สองคือ ชินเวศ
สารสาสก็เพิ่งปรับขบวนทัพจีเอฟครั้งใหญ่ มาวันนี้ วิเชียร พงศธร เขยคนโตก็มาพลิกโฉมหน้าพรีเมียร์อีกคน
พรีเมียร์กรุ๊ปกำลังก้าวกระโดดครั้งใหญ่ !!
ที่ดินบริเวณ "หลังสวน" เป็นที่ดินมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยสวัสดิ์และคุณหญิงล้อม
โอสถานุเคราะห์ ที่ดินบริเวณนี้ได้มาเพราะความที่คุณหญิงล้อม โอสถานุเคราะห์
ที่ดินบริเวณนี้ได้มาเพราะความที่คุณหญิงเป็นคนชอบเล่นที่ดินของตระกูลโอสถานุเคราะห์จึงมีมากมายทั้งที่หัวหมาก
พระโขนง อ่อนนุช หลังสวน ซึ่งซื้อมาตั้งแต่สมัยที่ดินไม่แพงมากมาย ถนนเพิ่งจะเริ่มตัดเข้าไป
โรงงานผลิตยาของโอสถสภาเคยปักหลักอยู่ที่หลังสวนพักหนึ่งก่อนที่จะย้ายไปรวมกับสำนักงานอยู่ที่หัวหมาก
แต่หลังสวนแห่งนี้ได้กลายเป็นกองบัญชาการใหญ่ของครอบครัวสุวิทย์และเสรีในเวลาต่อมา
สุวิทย์ โอสถานุเคราะห์ เป็นลูกชายคนโตของสวัสดิ์และคุณหญิงล้อม นอกเหนือจากการดูแลและช่วยเหลือกิจการในครอบครัว
คือ โอสถสภาแล้ว สุวิทย์ก็มองการณ์ไกลโดยเข้าไปลงทุนในธุรกิจการเงิน คือ
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เจเนอรัลไฟแนนซ์ หรือจีเอฟ และต่อมาขยายธุรกิจไปในธุรกิจเช่าซื้อและลิสซิ่งอีกด้วย
สุวิทย์ไม่ได้มาคนเดียว แต่ดำเนินธุรกิจร่วมกับเสรี ผู้เป็นน้องชายคนเล็ก
แต่การตัดสินใจส่วนใหญ่อยู่กับสุวิทย์ เพราะเสรีนั้นมุ่งไปในทางทำธุรกิจพัฒนาที่ดินเสียมากกว่า
โดยใช้ทำเลที่ดินที่คุณหญิงล้อมผู้เป็นแม่ซื้อเก็บไว้มาทำจัดสรรเป็นหมู่บ้าน
เช่น หมู่บ้านเสรี เสรีวิลล่า เป็นต้น
สุวิทย์มีมือขวาอยู่คนหนึ่งชื่อ อุดม ชาติยานนท์ เขาเป็นผู้ดูแลกิจการส่วนตัวของสุวิทย์โดยส่วนใหญ่
ทั้งจีเอฟและกิจการที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาหลายครั้งที่อุดมจะปรากฎชื่อเป็นกรรมการผู้มีอำนาจในธุรกิจของสุวิทย์
ซึ่งก็คือดูแลกิจการแทนสุวิทย์นั่นเอง
ในปี 2517 สุวิทย์และเสรีตั้งบริษัท "พรีเมียร์ซัพพลาย" เพื่อทำธุรกิจเช่าซื้อให้กับจีเอฟ
โดยรับเช่าซื้อตั้งแต่รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร ฯลฯ และต่อมาได้ขยายเป็นศูนย์พรีเมียร์และร่วมลงทุนกับธุรกิจท้องถิ่นตั้งศูนย์พรีเมียร์ในหลายจังหวัด
ทำธุรกิจเช่าซื้อคล้ายคลึงกับซิงเกอร์
ต่อมาสุวิทย์และเสรีเริ่มขยายธุรกิจเข้าไปในธุรกิจก่อสร้าง ซึ่งเกี่ยวพันกับธุรกิจบ้านจัดสรรอยู่แล้ว
โดยตั้งบริษัท "พรีเมียร์โพรดักส์" ขายถังแซทส์ และถังน้ำพีพี
ซึ่งทำจากไฟเบอร์กลาส มี ม.ล.ชัยนิมิตร เนาวรัตน์ นักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่งรับผิดชอบ
ซึ่งต่อมาสุวิทย์และเสรีได้ตั้งบริษัท "พีพี เซ็นเตอร์" ขึ้นมาเพื่อแยกการจัดจำหน่ายออกมาต่างหากในปี
2523 (ปัจจุบัน ม.ล.ชัยนิมิตรไปทำธุรกิจรีสอร์ทที่ภูเก็ต)
ปี 2520 เป็นปีที่ "พรีเมียร์มาร์เก็ตติ้ง" เกิดขึ้น โดยมี ไพบูลย์
ดำรงชัยธรรม เป็นกรรมการผู้จัดการ (เหตุการณ์ช่วงนี้โปรดอ่าน "พรีเมียร์มาร์เก็ตติ้ง
: ภาพที่ซ้อนทับกับโอสถสภา)
"พรีเมียร์อินเตอร์เนชั่นแนล" เกิดขึ้นในปี 2521 ทำธุรกิจนำเข้าส่งออก
เช่น อาหารแช่แข็ง เสื้อผ้า เครื่องหนัง ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวไปสู่ตลาดโลกในเวลาต่อมา
ในช่วงเริ่มต้นทั้ง 3-4 บริษัทเหล่านี้ ซึ่งต่อมาคือบริษัทหลักในปัจจุบันของพรีเมียร์กรุ๊ปจะถือุ้นโดยสุวิทย์และเสรีคนละครึ่ง
และจะมีอุดมชาติยานนท์คอยดูแลกำกับ โดยเฉพาะเรื่องการใช้จ่ายเงิน ส่วนกรรมการก็จะมีสุวิทย์และเสรีเป็นหลักเช่นกัน
นอกจากนั้นก็จะเป็นบรรดาคนสนิทของพี่น้องทั้งสองเป็นส่วนใหญ่
แต่การเสียชีวิตของสุวิทย์ในปี 2523 ขณะที่อายุ 53 ปีนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโอสถสภา
และพรีเมียร์ เพราะสุวิทย์เป็นพี่ชายคนโต มีอำนาจ เป็นที่เคารพของน้องทุกคน
การจัดกระบวนทัพใหม่ในสองครอบครัวนี้จึงเกิขดึ้น
แม้สุวิทย์จะเสียชีวิตไป แต่ความสัมพันธ์ทางธุรกิจของสองครอบครัวพี่น้องนี้ก็ไม่เปลี่ยนไป
เพียงแต่คุณหญิงมาลาทิพย์ขึ้นมารับผิดชอบในการตัดสินใจเรื่องนโยบายต่าง ๆ
แทนสุวิทย์เท่านั้น
ในพรีเมียร์ บทบาทของเสรีขึ้นมาแจ่มชัดขึ้น อุดม ชาติยานนท์ เลือนหายไปอยู่กับจีเอฟ
และต่อมาไปอยู่ที่ซันโย ยูนิเวอร์แซล อิเลคทริค เมื่อทางครอบครัวสุวิทย์หรือคุณหญิงมาลาทิพย์ภรรยาสุวิทย์ลงไปร่วมลงทุนด้วย
ส่วนบริษัทพรีเมียร์มาร์เก็ตติ้งต้องเปิดทางให้โอสถสภาเข้ามาเพื่อกอบกู้สถานการณ์
ในแง่ผู้ถือหุ้น ทั้งสองครอบครัวตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนในการถือหุ้นและลงทุนในกิจการต่าง
ๆ ร่วมกัน ทางฝ่ายสุวิทย์ซึ่งมีคุณหญิงมาลาทิพย์ เป็นผู้นำตั้งบริษัท "ล้อมดำริห์"
ทางฝ่ายเสรี ซึ่งมีเสรีเองเป็นผู้นำตั้งบริษัท "สวัสดิ์ดำริห์"
บรรดากรรมการนั้น ลูก ๆ ของทั้งสองครอบครัวเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ข้างล้อมดำริห์จะมีวิมลทิพย์
ลูกสาวคนโตของสุวิทย์เป็นผู้นำในการบริหาร ส่วนสวัสดิ์ ดำริห์นั้นเสรีจะมานั่งเป็นประธานในบริษัทเหล่านี้เอง
และภาสุรี ลูกชายคนโตของเขาก็จะเข้ามานั่งเป็นกรรมการด้วยเกือบทุกแห่ง
ในปี 2523 นั้น นอกจากจะเป็นปีที่สุวิทย์เสียชีวิตแล้ว วิมลทิพย์ก็แต่งงานกับวิเชียร
พงศธรเช่นกัน และกลายมาเป็นเขตคนโตของตระกูลโอสถานุเคราะห์ที่มีบทบาทอย่างมากในปัจจุบัน
วิเชียรเป็นลูกชายสุขุม พงศธร กรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์
และเจ้าของธุรกิจสีทาบ้าน "บางกอกเพ้นท์" นอกจากนั้น วิเชียรก็มีพี่ชายชื่อ
วินัย พงศธร กรรมการผู้จัดการบริษัทเฟอร์สท์ แปซิฟิกแลนด์ (ประเทศไทย)
วิเชียรจบมาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์สาขา "นิวเคลียร์" จาก RPI (RENSSE-LASER
POLYTECHNIC INSTITUTE) สถาบันเดียวแต่คนละสาขากับศิวพร ทรรทรานนท์แห่งทิสโก้
แล้ววิเชียรก็มาต่อทางด้านเอ็มบีเอจนจบในสถาบันเดียวกัน
วิเชียรเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจานิ่มนวล สุภาพ เขามาช่วยงานทางพรีเมียร์อินเตอร์เนชั่นแนลตั้งแต่ปี
2523 และบางครั้งก็ยังดูแลพรีเมียร์อื่น ๆ ด้วย เช่น ในช่วงที่ไพบูลย์ลาออกจากพรีเมียร์มาร์เก็ตติ้งใหม่
ๆ และยังหากรรมการผู้จัดการคนใหม่แทนไม่ได้ วิเชียรก็เข้าไปดูแลอยู่ถึง 7
เดือน ซึ่งในช่วง 5-6 ปีหลังมานี้ วิเชียรมีบทบาทดูแลพรีเมียร์อื่น ๆ มากขึ้น
โดยเฉพาะกับพรีเมียร์ที่เกิดขึ้นมาใหม่หรือโดยการร่วมทุนกับต่างชาติ เช่น
พรีเมียร์บาวาเรียไลน์ เป็นต้น
ทางด้านวิมลทิพย์นั้น นอกจากจะเป็นตัวแทนของครอบครัวสุวิทย์ แทนคุณหญิงมาลาทิพย์ในการดูแลกิจการและเป็นกรรมการบริษัทในเครือแล้ว
วิมลทิพย์ก็เคยเป็นถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ของโอสถสภาด้วยเช่นกัน ดังนั้นบทบาทของสองคนนี้จึงสำคัญเป็นอย่างมาก
ในฐานะพี่สาวใหญ่และเขยคนโตแห่งตระกูลโอสถานุเคราะห์
ทางด้านเสรี โอสถานุเคราะห์และครอบครัวนั้น มีลักษณะเฉพาะที่คล้ายคลึงกันอย่างมากระหว่างพ่อ
ๆ ลูก ๆ นั่นคือ ความเงียบสงบ และชอบใช้ชีวิตที่ค่อนข้างสันโดษ ซึ่งออกจะเป็นบุคลิกที่ขัดแย้งกับการทำธุรกิจระดับพันล้าน
เสรีเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจบ้านจัดสรรยุคแรกก็ว่าได้ โดยเริ่มจากหมู่บ้านเสรีและต่อมาไปเปิดต่อที่ซอยอ่อนนุช
ซึ่งล้วนประสบความสำเร็จด้วยดี ที่ดินที่จัดสรรก็เป็นที่ดินที่คุณหญิงล้อม
ผู้เป็นแม่ซื้อเก็บไว้ เมื่อสุวิทย์เสียชีวิต เสรีก็ดูแลกิจการต่าง ๆ ในเครือของ
"สุวิทย์และเสรี" ต่อไป จนต่อมาภายหลังเสรีเริ่มเกษียณตัวเองและใช้ชีวิตตามสบายไปเที่ยวตามต่างจังหวัดและต่างประเทศเสียเป็นส่วนมาก
แต่เสรีก็ยังมีบทบาทในฐานะ "ผู้ใหญ่" ที่ลูก ๆ หลาน ๆ จะต้องนับถือ
เขายังเป็นประธานของบริษัทต่าง ๆ ในเครือตามธรรมเนียมทั่วไปของธุรกิจในครอบครัว
เสรีมีบุตรสองคน คนโตชื่อภาสุรี โอสถานุเคราะห์ เป็นชายหนุ่มที่ชอบใช้ชีวิตอย่างสงบเช่นคุณพ่อ
สนใจและใฝ่ธรรมอย่างลึกซึ้งและถ่อมตัว เขาชอบที่จะไปนั่งเป็นกรรมการตามบริษัทต่าง
ๆ ในเครือญาติเพื่อร่วมประชุม ซึ่งเขากล่าวว่า มันเป็นการศึกษาและติดตามความเปลี่ยนแปลง
ลูกอีกคนของเสรี คือ ศรีสุมา เธอแต่งงานกับเอกฤทธิ์ ประดิษฐ์สุวรรณ สถาปนิกหนุ่ม
ศรีสุมานั้นเก็บตัวเงียบเสียยิ่งกว่าภาสุรี สามีและตัวเธอช่วยดูแลบริษัทสุวิทย์และเสรี
ซึ่งมีบริษัทลูกคือ "ฐาปกา" ซึ่งรับออกแบบสร้างบ้าน ขณะที่บริษัท
"บ้านเสรี" รับเหมาก่อสร้าง นอกจากนั้น บริษัทสุวิทย์และเสรียังทำโครงการช็อปปิ้งพลาซ่า
ที่ถนนศรีนครินทร์ ข้างร้านอาหารบัว และโครงการเอสเอสบิวดิ้ง อาคารสูง 6
ชั้นบนนถนนเดียวกันอีกด้วย
หากดูแผนภูมิและศึกษาลักษณะการลงทุนจะได้ข้อสรุปว่า ทั้งครอบครัวสุวิทย์และครอบครัวเสรี
คือ สายธุรกิจที่แยกตัวออกมาจากตระกูล "โอสถานุเคราะห์" ค่อนข้างชัดเจน
และเมื่อสองครอบครัวนี้มารวมกันเพื่อลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ เครือข่ายโยงใยธุรกิจที่เกิดขึ้นภายหลัง
คือ พรีเมียร์และจีเอฟ ก็กลายเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความเคลื่อนไหวและขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ
ความโชคดีของสุวิทย์นั้นก็คือ แม้เขาจะเสียชีวิตไปแล้ว และลูกคนโตของเขาก็เป็นหญิง
ทั้งลูก ๆ ทางฝ่ายเสรีก็ชอบที่จะอยู่อย่างสงบมากกว่า แต่เขามีน้อยชาย คือ
เสรีและเขยอีกสองคนที่ต่างทำงานเก่งและเฉลียวฉลาด มีโลกทัศน์ทางธุรกิจที่ก้าวหน้า
คือ วิเชียร พงศธร สามีลูกสาวคนโตวิมลทิพย์ และชินเวศ สารสาส สามีลูกสาวคนรองเสาวนีย์
สารสาส
ชินเวศเข้าไปจับงานที่จีเอฟ และเมื่อปีที่แล้ว เขาเริ่มเสนอแผนการปรับโครงสร้างและจัดกลุ่มธุรกิจในเครือจีเอฟใหม่
รวมไปถึงเริ่มการขยายตัวด้วยการร่วมทุนกับต่างประเทศหลายบริษัท เขาใช้เวลาในการเสนอแผนดังกล่าวถึง
9 เดือน จนกระทั่งกลายเป็น "จีเอฟโฮลดิ้ง" ในทุกวันนี้
นั่นเป็นเรื่องของเขยคนเล็ก วิเชียรซึ่งเป็นเขยคนโตก็วางแผนการปรับโครงสร้างบริษัทในเครือพรีเมียร์ในเวลาไล่เรี่ยเช่นกัน
มีปัจจัยสี่ประการที่วิเชียรและกลุ่มพรีเมียร์ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง หนึ่ง
- วิเชียรนั่งประชุมอยู่ที่พรีเมียร์อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งทำธุรกิจส่งออก
เขาต้องเดินทางไปต่างประเทศ และหาลู่ทางทำการค้ากับกลุ่มธุรกิจทั่วโลกตลอดเวลา
แน่นอนที่เขาจะต้องพบกับช่องทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่น่าลงทุน รวมไปถึงสินค้าใหม่
ๆ ที่น่าจะนำเข้ามาจำหน่าย แรงกระตุ้นจากการค้าต่างประเทศและความเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก
เป็นปัจจัยประการหนึ่งที่พรีเมียร์กรุ๊ปต้องปรับตัวรองรับและพร้อมที่จะก้าวไปสู่โลกภายนอกให้มั่นคงกว่านี้
สอง - ในหมู่ผู้ถือหุ้นได้มองบทบาทของตนเอง และธุรกิจที่ตนเองถือครองเปลี่ยนไปจากเดิมที่จำกัดธุรกิจเหล่านั้นเป็นธุรกิจของครอบครัวผู้ถือหุ้นก็คือ
คนในครอบครัวสุวิทย์และเสรีนั้นได้ปรับเปลี่ยนบทบาทตนเองเป็น "ผู้ลงทุน"
ไม่เข้าไปก้าวก่ายการบริหารและเปิดทางให้ "มืออาชีพ" เข้ามารับผิดชอบในบริษัทอย่างเต็มที่
สาม - แต่ไหนแต่ไรมา พรีเมียร์แต่ละบริษัทมีอิสระในการบริหารและมีแนวการทำงาน
รวมไปถึงการวางนโยบายที่ไม่ขึ้นต่อกัน หรือต่างคนต่างทำ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงเป็นไปเพื่อร้อยรัดพรีเมียร์ที่มีเกือบ
20 บริษัทให้มีทิศทางเดียวกัน หรือนโยบายการทำงานที่สอดคล้องไปในทางเดียวกัน
แหล่งข่าว กล่าวว่า แนวความคิดที่จะเริ่มรวมพรีเมียร์กรุ๊ปนั้นมีมานานมากแล้ว
และตัววิเชียรก็เริ่มที่จะมีบทบาทในพรีเมียร์อื่น ๆ นอกเหนือจากพรีเมียร์อินเตอร์เนชั่นแนลมาตั้งแต่
5 ปีที่แล้ว แต่แนวความคิดดังกล่าวก็ค่อย ๆ ทำไปในทางปฏิบัติ ขณะเดียวกันวิเชียรและครอบครัวเสรีเองก็ไม่ชอบเป็นข่าวหรือประกาศตัวโจ่งแจ้งนัก
การเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าในพรีเมียร์โกลเบิลจึงดูล่าช้ากว่าทางจีเอฟถึงเกือบหนึ่งปี
บริษัทล้อมดำริห์และสวัสดิ์ดำริห์ บริษัทดั้งเดิมของทั้งสองครอบครัวปรับตัวเองโดยการตั้งบริษัท
"พรีเมียร์โกลเบิลคอร์ปอเรชั่น" ขึ้น โดยมีสองบริษัทดั้งเดิมนั้นเป็นผู้ถือหุ้นคนละ
50% ซึ่งต่อไปพรีเมียร์โกลเบิลจะกลายเป็นบริษัทผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทในเครือพรีเมียร์ทุกบริษัท
นั่นคือสถานะของพรีเมียร์โกลเบิลจะเป็นโฮลดิ้งคอมปานีนั่นเอง
เสนาะ อูนากูล เข้ามารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการพรีเมียร์โกลเบิล ว่ากันว่าเสนาะมีความสนิทสนมกับครอบครัวสุวิทย์
โดยเฉพาะคุณหญิงมาลาทิพย์มานมนาน เมื่อครั้งที่ตั้งจีเอฟโฮลดิ้ง เสนาะก็เป็นคนแนะนำณรงค์ชัย
อัครเศรณีมาเป็นกรรมการผู้จัดการจีเอฟโฮลดิ้ง
ในคณะกรรมการประกอบด้วยเสรี วิเชียร วิมลทิพย์ ภาสุรี ซึ่งจะคอยกำกับและดูแลด้านนโยบายให้กับบริษัทลูก
ๆ แต่วิเชียรเป็นคนสำคัญที่สุดที่รับหน้าที่เข้าไปดูแลการบริหารบริษัทในเครือซึ่งมีประมาณ
20 บริษัท เมื่อมีการประชุมระดับผู้บริหารครั้งหนึ่งนั้นจะมีตัววิเชียรเป็นประธานและบรรดาผู้บริหารของแต่ละบริษัทรวมแล้วกว่า
20 คน เมื่อมีการประชุมระดับผู้บริหารครั้งหนึ่งนั้นจะมีตัววิเชียรเป็นประธานและบรรดาผู้บริหารของแต่ละบริษัทรวมแล้วกว่า
20 คน
พรีเมียร์โกลเบิลจะแบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่ม คือ หนึ่ง - กลุ่มการค้าต่างประเทศ
สอง - กลุ่มการค้าภายในประเทศ สาม - กลุ่มการผลิต สี่ - กลุ่มการเงิน
บริษัทในเครือที่น่าจะมีบทบาทต่อไปมีด้วยกันหลายบริษัท เช่น พรีเมียร์อินเตอร์เนชั่นแนล
เป็นบริษัททำการค้าระหว่างประเทศ มียอดขายในแต่ละปีประมาณ 600-800 ล้านบาทต่อปี
มีสาขาในสหรัฐอเมริกาสองแห่งและมีเอเย่นต์ธุรกิจทั่วโลกจำนวน 48 แห่ง บริษัทนี้เป็นบริษัทหลักที่วิเชียรรับผิดชอบดูแลมาตั้งแต่ปี
2523
พรีเมียร์ซัพพลายเป็นบริษัทในเครือที่เก่าแก่ที่สุด มีสาขาอยู่ในหลายจังหวัด
ล่าสุดซิตี้คอร์ปและเอไอจี (บริษัทแม่ของเอไอเอในประเทศไทย) ได้เข้ามาถือหุ้นด้วย
บริษัทละ 2.5% จากทุนจดทะเบียน 200 ล้านซึ่งนอกเหนือเหตุผลทางธุรกิจที่ว่าอนาคตของธุรกิจเช่าซื้อน่าจะไปได้ไกลและผลตอบแทนน่าจะคุ้มค่าการลงทุนแล้ว
แหล่งข่าวกล่าวว่า การร่วมถือหุ้นดังกล่าวสะท้อนถึงความสัมพันธ์ของวิเชียรกับซิตี้คอร์ปและเอไอจี
โดยเฉพาะซิตี้คอร์ปนั้นเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่เป็นสะพานเชื่อมในการร่วมทุนกับบริษัทต่างประเทศแห่งอื่น
ๆ ได้เป็นอย่างดี
ผลประกอบการในปี 2532 พรีเมียร์ซัพพลายมีสินทรัพย์ 1,600 ล้าน ยอดขาย 1,200
ล้าน กำไรสุทธิ 60-70 ล้าน และกำลังให้ธนสยามศึกษาเพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์
พีเอ็มฟู้ดเป็นบริษัทร่วมทุนกับชาวไต้หวันรับผลิตปลาสวรรค์ทาโร่ ซึ่งมีผลประกอบการดีพอที่อาจจะเป็นบริษัทที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้เป็นบริษัทแรกของกลุ่ม
บริษัทมียอดขายประมาณ 100 ล้านบาท กำไร 12 ล้าน และกำลังลงทุนเพิ่มอีก 50
ล้าน เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ คือ ของขบเคี้ยวประเภทถั่ว
พรีเมียร์โพรดักส์และพีพีเซ็นเตอร์เป็นบริษัทที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยเฉพาะบริษัทแรกตั้งมาตั้งแต่ปี
2517 โดยพรีเมียร์โพรดักส์เป็นบริษัทผลิตถังน้ำพีพ ถังไบโอเซฟท์ ถังแซทส์
ซึ่งผลิตจากไฟเบอร์กลาส และพีพีเซ็นเตอร์รับจัดจำหน่าย มียอดขายประมาณ 300
ล้านบาท
พรีเมียร์บาวาเรียไลน์เป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัท FISHCHER & MENZEGHBH
จากรัฐบาวาเรีย สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ผลิตเครื่องสุขภัณฑ์อะคลีลิค ให้กับคอตโต้
โดยใช้เงินลงทุน 35 ล้านบาท มีโรงงานอยู่ที่หนองจอกบนพื้นที่เกือบ 4 ไร่
เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2531
พรีเมียร์โฟรเซ่นฟู้ดโปรดักส์เป็นโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง อาหารทะเลแปรรูป
รวมไปถึงผักผลไม้แปรรูป เป็นการลงทุนเองของกลุ่มเป็นเงิน 131 ล้านบาท มีโรงงานอยู่ที่ถนนบางนา-ตราด
เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ มีกำลังการผลิต 8,800 ตันต่อปี ส่งออก 80% ตลาดใหญ่คือญี่ปุ่น
พรีเมียร์อุตสาหกรรมกระเป๋า เป็นโรงงานผลิตกระเป๋าเดินทางเพื่อการส่งออก
ลงทุนโดยกลุ่มพรีเมียร์เองทั้งหมดเป็นมูลค่า 53 ล้านบาท
แต่เดิมนั้นพรีเมียร์อินเตอร์เนชั่นแนลทำตลาดส่งออกมีสินค้าประมาณ 80 ชนิด
มีมูลค่าส่งออกปีหนึ่ง ๆ ประมาณ 600-800 ล้าน ดังนั้นเมื่อโรงงานเหล่านี้สามารถเดินเครื่องผลิตได้เต็มกำลังพรีเมียร์อินเตอร์เนชั่นแนลก็จะมีสินค้าเป็นของตนเอง
และยอดขายก็น่าจะเพิ่มเป็นพันล้านได้อย่างแน่นอน
ธุรกิจอีกด้านหนึ่งที่เพิ่งมารวมกับพรีเมียร์กรุ๊ป คือ บริษัทเครือเนาวรัตน์พัฒนาการ
ซึ่งประกอบธุรกิจกุ้งกุลาดำและรับเหมาก่อสร้าง บริษัทนี้เคยเป็นการร่วมทุนระหว่างเสรีและมานะ
กรรณสูต เครือญาติของหมอชัยยุทธ กรรณสูต แห่งอิตัลไทย ต่อมาโอสถสภาเทคโอเวอร์ไป
แต่ครั้งล่าสุดเสรีเล่าว่า เขาและพรีเมียร์กรุ๊ปได้ซื้อคืนกลับมาแล้ว แต่ยังให้มานะ
กรรณสูต รับผิดชอบอยู่ในส่วนบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ล่าสุดปรากฏว่า บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการแห่งนี้ได้รับมอบหมายให้ก่อสร้างอาคารประชุมเวิลด์แบงก์จากกระทรวงการคลังอีกด้วย
!
ส่วนบริษัทเนาวรัตน์ซีกที่ทำกิจการกุ้งกุลาดำนั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า กิจการด้านนี้ค่อนข้างใหญ่มาก
มีที่ดินสำหรับเลี้ยงกุ้งกุลาดำถึงหมื่นกว่าไร่ มียอดขายไม่ต่ำกว่า 3 พันล้าน
และกุ้งกุลาดำที่ได้มาก็เข้าห้องเย็นของพรีเมียร์กรุ๊ปที่กำลังจะก่อสร้างขึ้นในเร็ววันนี้
และพรีเมียร์อินเตอร์เนชั่นแนลก็จะรับผิดชอบการจัดจำหน่ายในต่างประเทศ
โรงงานผลิตซ๊อสและปลากระป๋องโรซ่าซึ่งถูกรวมอยู่ในบริษัทเอสจีไอ (สยามกล้าสอินดัสตรี)
ของโอสถสภาก็อยู่ในระหว่างการเจรจามารวมอยู่ในพรีเมียร์กรุ๊ป ซึ่งอาจจะตั้งชื่อหลังจากรวมว่า
พรีเมียร์อุตสาหกรรมปลากระป๋องก็เป็นได้
นอกเหนือจากนี้ ก็จะมีบริษัทซันโย ยูนิเวอร์แซล อิเลคทริค ที่ถูกจัดมารวมในพรีเมียร์กรุ๊ปด้วย
เป็นการร่วมลงทุนกับซันโยจากญี่ปุ่นเพื่อผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า พรีเมียร์โกลเบิลที่หุ้นอยู่ในราว
30%
บริษัทที่นอกเหนือจากนี้ยังไม่มีบทบาทเด่นชัดเจน
แม้ไม่มีตัวเลขยอดขายโดยรวมทั้งพรีเมียร์กรุ๊ปอย่างเป็นทางการ แต่วิเชียร
พงศธร กล่าวว่า เมื่อปีที่แล้วมียอดขายประมาณ 6-7 พันล้าน !
หากตัดพรีเมียร์มาร์เก็ตติ้งออกไปก็คงต้องลดออกไปประมาณ 1 พันล้านกว่าบาท
แต่ถ้าหากรวมกลุ่มบริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ พรีเมียร์กรุ๊ปก็จะมียอดขายปาเข้าไปถึงหมื่นล้านบาท
!
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พรีเมียร์ซัพพลายก็ได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้เข้าไปฟื้นฟูบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นครหลวงอินเวสเม้นท์
(เอ็มไอที) ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนในโครงการ 4 เมษายน
กรณีดังกล่าวถูกโยงไปว่า จีเอฟ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินในเครือโอสถานุเคราะห์เหมือนกัน
ไม่สนับสนุนพรีเมียร์กรุ๊ปดังก่อนแล้ว พรีเมียร์กรุ๊ปจึงต้องหาทางออกหรือไม่ก็เป็นการแข่งขันระหว่างเขยสองคน
สองสายธุรกิจ คือ ระหว่างวิเชียรและชินเวศ ที่ต้องแยกอิสระจากกันโดยเด็ดขาดและสร้างฐานทางธรุกิจขึ้นมาคนละกลุ่ม
กรณีดังกล่าว ผู้ใกล้ชิดวิเชียรและผู้บริหารระดับสูงของพรีเมียร์กรุ๊ปให้เหตุผลว่า
มันไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าเหตุผลทางการลงทุน
"กรรมการบริษัทเห็นผลตอบแทนในอนาคตน่าจะดีก็เลยยื่นเรื่องขอฟื้นฟูเข้าไปเมื่อ
2 ปีที่แล้ว" แหล่งข่าวกล่าว
เหตุผลนอกเหนือจากนั้นก็คือ ไม่ว่าบริษัทใดหรือสถาบันการเงินใดก็ไม่ควรไปยึดอยู่กับคนใดคนหนึ่งมากเกินไป
ซึ่งอาจจะทำให้เสียโอกาสในการลงทุนไป นอกจากนั้นจีเอฟก็ไม่ใช่ของพรีเมียร์กรุ๊ปเสียคนเดียว
แหล่งข่าวอธิบายว่า ในปัจจุบันพรีเมียร์ซัพพลายซึ่งจีเอฟให้การสนับสนุนนั้นมีวงเงินในการให้บริการเช่าซื้อประมาณ
2,000 ล้าน ใช้แหล่งเงินจากจีเอฟประมาณ 25% นอกนั้นมาจากสถาบันการเงินแห่งอื่น
และมีแนวโน้มว่ายอด 25% นี้จะลดลงไปเรื่อย ๆ
"จีเอฟเขาเป็นมืออาชีพ เขาต้องกระจายความเสี่ยงและไม่ว่าจีเอฟเป็นของกลุ่มสุวิทย์และเสรีทั้งหมด
แต่จริง ๆ แล้ว ทั้งก่อนปรับโครงสร้างสุวิทย์และเสรีก็ยังถือแค่ 51% เท่านั้น
และอีกอย่างนครหลวงอินเวสท์เม้นท์ก็จะไม่มีเงินปันผลอยู่ถึง 6 ปี ซึ่งถ้าไม่ใช่บริษัทเพื่อการลงทุนโดยเฉพาะก็จะไม่ทำ
ดังนั้นพรีเมียร์โกลเบิลน่าจะเหมาะในการลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทนในอนาคตที่ค่อนข้างไกลพอสมควร
คือ นครหลวงอินเวสท์เม้นท์เป็นบริษัทที่ต้องอาศัยการฟื้นฟูนานพอดู ก็คุณเห็นไหมมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ไหนเขาเข้าไปลงทุนในโครงการ
4 เมษาก็เพราะมันไปดึงเงิน เงินก็จม คนเลยเข้าใจผิดว่า จีเอฟไม่สนองตอบหรือเปล่า
ไม่ใช่มันเป็นเหตุผลของการลงทุนเท่านั้น และเหตุผลของการฟื้นฟูที่ต้องอาศัยวิถีทางการตลาดและฐานการเงินเราก็ควรเอาฐานภายนอกไม่ใช่เอาฐานภายในเข้ามา
ซึ่งยิ่งทำให้มันดึงเงิน มันก็ไม่ DIVERSIFY ซิมันไม่มีอะไรดีขึ้น"
แหล่งข่าวกล่าว
แต่พรีเมียร์กรุ๊ปก็ไม่สามารถเข้าไปบริหารในสถาบันการเงินแห่งนี้ได้โดยลำพัง
จำเป็นต้องหาบริษัทร่วมลงทุน ซึ่งวิเชียรก็ได้เอไอจี บริษัทประกันภัย ยักษ์ใหญ่ของโลก
เหตุผลก็คือ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งเอไอจีมีเต็มเปี่ยม และวิธีการบริหารสาขา
ซึ่งเอไอจีจะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เพราะสถาบันการเงินที่ต้องการการฟื้นฟูจะต้องมีสาขาเครือข่ายที่เอื้ออำนวยต่อการหารายได้
ในนครหลวงอินเวสท์เม้นท์ พรีเมียร์จะถือหุ้น 51% และเอไอจี 49%
ดังนั้นหากสรุปบริษัทในเครือพรีเมียร์กรุ๊ปทั้งหมด จะพบว่า ในช่วงนี้คือช่วงก่อร่างสร้างตัวที่จะก้าวไปข้างหน้า
พรีเมียรกรุ๊ปกำลังจะมีทั้งฐานทางการเงิน ฐานการผลิต บริษัททำการตลาดทั้งในและต่างประเทศ
"พรีเมียร์กรุ๊ปจะเน้นนโยบายสองประการ คือ เป็นบริษัทการตลาดที่เน้นโครงสร้างช่องทางการจัดจำหน่าย
และจะลงทุนหรือร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับช่องทางการจัดจำหน่ายของเรา"
วิเชียรกล่าวสรุปนโยบายของกลุ่มอย่างง่าย ๆ กับ "ผู้จัดการ"
"อนาคตของพรีเมียร์เป็นอย่างไร เรามองอนาคตด้วยความมั่นใจ เรามองเมืองไทยไม่ได้
เป็นอย่างเมืองไทยทุกวันนี้ เรามองอย่างออสเตรเลีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ เรามอง
AREA BUSINESS อย่างทั่วโลก เราเป็น PROFESSIONAL มากขึ้น เรามี OUTLET ในต่างประเทศ
มีต่างประเทศเข้ามาร่วมทุนและจะไปลงทุนในต่างประเทศในจุดที่เราเกี่ยวข้อง"
แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดกับวิเชียรกล่าวถึงอนาคตอย่างเชื่อมั่น
ซึ่งแน่นอนบทบาทเช่นนี้จะต้องไม่พ้นวิเชียร พงศธร CHIEF EXECUTIVE ของพรีเมียร์โกลเบิลนั่นเอง
!
ประมาณเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ บริษัทในเครือพรีเมียร์กรุ๊ปทั้งหมดจะย้ายไปรวมกันอยู่
"พรีเมียร์ คอร์ปอเรทปาร์ค" ที่ถนนศรีนครินทร์ ณ ที่นั่นจะเป็นการประกาศตัว
"พรีเมียร์กรุ๊ป" อย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก ส่วนอาครที่หลังสวนนั้นจะถูกทุบทิ้ง
และพัฒนาเป็น "หลังสวน คอมเพล็กซ์" อาคารสูง 26 ชั้น ดำเนินงานโดยบริษัทเชสเตอตัน
บริษัทในเครือจีเอฟโฮลดิ้ง ซึ่งทางจีเอฟโฮลดิ้งก็จะอาศัยอาคารแห่งนี้เป็นสำนักงานใหญ่ไปด้วย
และนั่นก็จะเป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่ทั้งพรีเมียร์กรุ๊ปและจีเอฟโฮลดิ้งจะแยกกันให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้ง วิเชียร พงศธร และชินเวศ สารสาส ต่างก็ต้องดำเนินชีวิตกันไปตามวิถีแห่งความเป็นนักธุรกิจที่มีสายตาอันยาวไกล
โดยมีเสรี คุณหญิงมาลาทิพย์และครอบครัวของคนทั้งสองเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด
ณ วันนี้ แม้พรีเมียร์กรุ๊ปและจีเอฟโฮลดิ้ง จะยังมีสายสัมพันธ์แห่ง "โอสถานุเคราะห์"
ยึดเหนี่ยวต่อกันอยู่ แต่บริษัททั้งสองก็ได้พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นบริษัทที่แทบจะเรียกได้ว่าไม่ได้เป็นบริษัทในครอบครัวอีกต่อไปแล้ว
และกำลังก้าวสู่ธุรกิจโลกอย่างเชื่อมั่นต่อไปอีกด้วย
สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นความแปลกใหม่ในสายตาของบุคคลทั่วไป หรือแม้แต่ในความรู้สึกของคนในตระกูล
"โอสถานุเคราะห์" ด้วยกันเอง แต่หลายคนเชื่อว่า หากสุวิทย์ โอสถานุเคราะห์
ผู้เริ่มต้นธุรกิจโอสถานุเคราะห์สายจีเอฟโฮลดิ้งและพรีเมียร์โกลเบิลยังมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้...เขาคงมีความสุข...