'บันเทิง'จ่อยุบห้างมาบุญครองดันโมเดลโรงแรมเร่งรายได้


ผู้จัดการรายวัน(17 ตุลาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

นายบันเทิง ตันติวิท ประธานกรรมการ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน)(MBK) เปิดเผยภายหลังพิธีเซ็นสัญญาขยายเวลาการเช่าพื้นที่กับทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการวานนี้ (16 ต.ค.) ว่า ปัจจุบันเนื่องจากแนวโน้มรายได้ธุรกิจโรงแรมมีอัตราการขยายตัวที่ชัดเจน ดังนั้นบริษัทฯ จึงได้ทำการศึกษาแนวทางในการเพิ่มรายได้ โดยกำลังศึกษาที่จะเปลี่ยนอาคารเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ (มาบุญครอง) ให้กลายเป็นโรงแรมแทน เนื่องจากทำเลที่ตั้งมีศักยภาพและได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน ซึ่งจะสามารถทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นได้

" เรื่องนี้เป็นเพียงแต่ขั้นตอนการศึกษาเท่านั้น ซึ่งต้องคำนึงถึงปัจจัยทางธุรกิจอื่นๆ ด้วย ดังนั้นจึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะมีการตัดสินใจเรื่องดังกล่าวเมื่อใด"นายบันเทิง กล่าวและว่า

ทางบริษัทฯ วางแผนที่จะพัฒนา MBK Center อย่างต่อเนื่อง ด้วยงบลงทุนสูงกว่า 1,200 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงห้าง MBK ให้ทันสมัยมากขึ้น หลังจากที่บริษัทได้ต่อสัญญาเช่าและลงทุนพัฒนาที่ดินบริเวณสี่แยกปทุมวันกับจุฬาฯเรียบร้อยแล้ว โดยได้สิทธิ์เช่าต่อไปเป็นเวลา 20 ปี อย่างไรก็ดี การต่อพื้นที่เช่าดังกล่าวตามเงื่อนไขสัญญาทางจุฬาฯจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน 25,378,951,275 บาทถ้วน โดยจะทยอยจ่ายเป็นงวดๆ

ด้านนายสุเวทย์ ธีรวชิรกุล กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เรื่องแผนการเปลี่ยนอาคารเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ให้เป็นโรงแรม คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งผลสรุปที่ออกมาอาจจะมีการทำตามแผนดังกล่าวหรือไม่ทำก็ได้

โดยคาดการณ์รายได้ปี 2550 (นับตั้งแต่เดือนก.ค.50-สิ้นมิ.ย.51) ขยายตัวได้ 7% จากปีที่ผ่านมาทำได้ 5,000 ล้านบาท จากธุรกิจศูนย์การค้า โรงแรม และพัฒนาที่ดิน ซึ่งยังคงมีการขยายตัวทั้งกลุ่ม อย่างไรก็ดี แม้จะพบว่าในช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมารายได้จากธุรกิจศูนย์การค้าจะลดลงเล็กน้อย เป็นผลมาจากอยู่ในช่วงปิดเทอม และมีฝนตก ดังนั้น หลังจากหมดช่วงดังกล่าว และใกล้ช่วงเลือกตั้ง น่าจะทำให้รายได้ในช่วงต่อจากนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญได้

ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิปี 50 (สิ้นสุด 30 มิ.ย. 51) จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 5% จากปีที่ผ่านมาทำได้ 1,280 ล้านบาทจากทั้งธุรกิจศูนย์การค้า โรงแรมและอื่นๆ ที่ยังคงมีการขยายตัวของรายได้เพิ่มขึ้น จึงทำให้สัดส่วนกำไรย่อมเพิ่มขึ้นตาม

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯจะพยายามปรับสัดส่วนรายได้ให้มีความสมดุลมากขึ้นในอนาคต โดยตั้งเป้าจะเพิ่มรายได้ของธุรกิจพัฒนาที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ให้เพิ่มเป็น 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5% อีกทั้งในส่วนของรายได้ธุรกิจอื่นๆได้แก่ ธุรกิจโรงแรม อสังหาริม-ทรัพย์ และศูนย์การค้า โครงสร้างรายได้จะมีการเปลี่ยนแปลง โดยรายได้จากธุรกิจโรงแรมจะเพิ่มขึ้นเป็น 25-30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 18% ขณะที่ธุรกิจศูนย์การค้าจะมีสัดส่วนลดลงจากปัจจุบันเล็กน้อยที่ 30% ขณะที่รายได้ในส่วนอื่นๆจะมีสัดส่วนลดลงตาม

แผน5ปีลุยขยายโครงการจัดสรร-รีสอร์ต

นายสุเวทย์ กล่าวถึงแผนการขยายธุรกิจอสังหาฯในโครงการต่างๆ ว่า ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของโครงการบ้านเดี่ยวที่ จังหวัดปทุมธานีจะใช้เงินลงทุนในระยะ 5 ปีรวม 2,000-3,000 ล้านบาท และยังมีการสร้างสนามกอล์ฟภายในโครงการด้วย ซึ่งคาดว่าจะสร้างเสร็จในปลายปี 2551 ขณะที่ในส่วนของโครงการสร้างบ้านที่ภูเก็ตจะเป็นการขายและทยอยขายไปเรื่อยๆ ดังนั้นเงินที่หมุนเวียนใช้ในโครงการจะใช้จำนวนไม่มากนัก

นอกจากนี้ ในส่วนของความคืบหน้าการปรับปรุงโรงแรมต่างๆ รวมถึงรีสอร์ตจะใช้เวลาปรับปรุง 4-5 ปีเช่นกันเพราะจะเป็นการค่อยๆทยอยปรับปรุงห้องพักโดยไม่ได้ปิดโรงแรม อีกทั้งบริษัทฯยังจะมีการจัดสร้างรีสอร์ตแห่งใหม่ๆที่สมุยซึ่งคาดว่าอีก 1-2 ปีจะแล้วเสร็จ

นายสุเวทย์ กล่าวว่า แม้ทางบริษัทฯ จะมีภาระในการจ่ายค่าตอบแทนให้จุฬาฯจำนวน 25,000 ล้านบาท ในสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบกับผลกำไรเพราะการจ่ายเงินดังกล่าวจะเริ่มในปี 2556 และยังเป็นการทยอยจ่ายในช่วงระยะเวลา 20 ปี ซึ่งในขณะนี้บริษัทฯ ได้จ่ายเงินเฉพาะค่ามัดจำในวันทำสัญญาเท่านั้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.