ความสำเร็จของคนเรานอกจาก "เก่ง" กับ "เฮง" จะเป็นปัจจัยสำคัญแล้วนั้น
ความฮึกเหิมภายในก็เป็นพลังกระตุ้นให้บรรลุเป้าหมายได้ง่ายและเร็วขึ้น จากแรงกดดันฐานะ
"ลูกเมียน้อย" ที่ไม่มีทางเลือกอื่นใดกับการลบคำครหานอกจากมุ่งทำงานดุจมดง่ามชนิดหนักเอา
- เบาก็สู้ จึงทำให้ "วิญญู คุวานันท์" มีวันนี้ได้
วันที่เขาเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน
สามสิบปีแห่งการเติบโตอย่างแข็งกร้าวเพื่อรอวันหยั่งรากลึกในอนาคตอันใกล้ชนิดที่จะหาบริษัทใดในภาคอีสานเสมอเหมือน
"โค้วยู่ฮะกรุ๊ป" ที่มีวิญญู คุวานันท์ เป็นแกนหลักนั้นเกิดขึ้นเป็นจริงเพราะความบากบั่นที่ต้องการสานสร้างปมด้อยของชีวิตให้เป็นปมเด่นที่ใคร
ๆ ต้องยอมรับโดยดุษฎี
"วิญญูเป็นลูกเมียคนที่สาม เป็นลูกเมียน้อยที่คนอื่นเขาดูถูกเอามาก
ๆ เลยสอนให้แกเป้นคนมีน้ำอดน้ำทน และตั้งความหวังในชีวิตจะต้องโดดเด่นเหนือพี่น้องคนอื่น
ๆ ให้จงได้" ญาติสนิทของครอบครัว "คุวานันท์" ปูพื้นปฐมบทแห่งความสำเร็จของวิญญูกับ
"ผู้จัดการ"
ครอบครัวของ "คุวานันท์" แม้จะพอเป็นล่ำเป็นสันมีอยู่มีกินไม่อายใครจากอาชีพค้าของป่าและรับซื้อขายพืชไร่ในเขตเมืองพล
จังหวัดขอนแก่น แต่ความที่ "ซุนหยู แซ่โค้ว" ผู้นำครอบครัวมีเมียที่ต้องเลี้ยงดูถึง
3 คนไม่นับรวมลูก ๆ จากทั้งสามท้องอีกหลายสิบคน เลยทำให้สมบัติหลังซุนหยูตายตกทอดไปถึงเมียและลูก
ๆ คนละไม่มากนัก โดยเฉพาะ "ลูกเมียน้อย" อย่างวิญญูและพี่ ๆ น้อง
ๆ อีก 4 คนแทบไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
โชคดีเป็นของวิญญูบ้างตรงที่ได้เข้ามาเรียนภาษาจีนในกรุงเทพฯ และรู้จักพบรักกับ
"มาลิน" ลูกสาวคนสวยของนายห้างไอศครีม "ป้อป" ที่ผู้บริโภคทุกระดับชื่นชอบเมื่อ
30 ปีก่อน มาลินหรือ "เสี่ยเนี้ย" ที่ทุกคนใน "คุวานันท์"
และ "โค้วยู่ฮะกรุ๊ป" ให้ความเกรงใจเป็นพิเศษกลายเป็น "ตัวจักร"
ของการขับเคลื่อนการหมุนเงินมาช่วยสามีที่สืบทอดกิจการค้าของป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คนเราบทจะ "เฮง" ขึ้นมาอะไรก็ฉุดไม่อยู่ เช่นเดียวกับทางเดินชีวิตของวิญญูกับมาลินที่หลังจากเบี่ยงเบนทิศทางอาชีพจากค้าของป่ามาเป็นตัวแทนขายรถยนต์
"โตโยต้า" ในเขตเมืองพลราวปี 2501 นั้นก็เป็นปี "จอมพลนักรัก"
ลูกอีสานจากขอนแก่นอย่าง "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ทำการปฏิวัติและวางรากฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
โดยเฉพาะการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ เช่น การคมนาคมขนส่ง ตัดถนนหนทางเพิ่มขึ้นนับสิบ
ๆ สาย เป็นผลให้ "คนค้ารถยนต์" อย่างวิญญูถูกหวยเข้าจังเบ้อเร่อ!!
ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดโต๊เฮ่งเตียงมอเตอร์ของวิญญูกับมาลินที่ตั้งอยู่บริเวณถนนหน้าเมือง
จ.ขอนแก่น ได้เปลี่ยนจากการเป็นตัวแทนขายโตโยต้ามาขาย "อีซูซุ"
ก็เป้นช่วงเวลาเดียวกันกับที่จอมพลสฤษดิ์ได้ตัดสินใจวางแผนพัฒนาให้ "ขอนแก่น"
เป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน มหาวิทยาลัยขอนแก่นเกิดขึ้น หน่วยงานราชการต่าง
ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และแน่นอนเส้นทางเชื่อมจากขอนแก่นไปยังจังหวัดต่าง
ๆ ทั่วภาคอีสานก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ !!
ซึ่งถ้าจะพิจารณาจากอดีตถึงปัจจุบันย่อมพบความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า ภาคอีสานซึ่งมีภาพลักษณ์ของความแห้งแล้งกันดารมากที่สุดของประเทศนั้นกลับเป็น
"พื้นที่" ที่รถยนต์วิ่งมากที่สุดของประเทศ โดยคิดจากเส้นทางรถยนต์ทั้งระบบ
โอกาสเช่นนี้ "พลาด" ไม่ได้สำหรับผู้ค้ารถยนต์ โดยเฉพาะผู้ค้ารถยนต์ที่มีสายตายาวไกล
รวมทั้งโชคหนุนช่วยอย่าง "วิญญู คุวานันท์" ซึ่งการพลิกสถานะมาเป็นตัวแทนของ
"อีซูซุ" นั่นถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่พลาดเลยแม้แต่นิดเดียว
ทั้งนี้เพราะ "อีซูซุ" สามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้ทั้งรถบรรทุกและรถปิกอัพดีเซล
ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นไปทางเศรษฐกิจของภาคอีสานที่จำเป็นต้องพึ่งพารถบรรทุกในการขนส่งพืชไร่เป็นจำนวนมาก
ปรากฎการณ์ทางการตลาดที่เกิดขึ้นกับ "โค้วยู่ฮะมอเตอร์" ในช่วงปี
2503-08 ก็คือ "ผู้ซื้อต้องมาไหว้ขอซื้อรถและต้องสั่งจองล่วงหน้านานถึง
3-5 เดือนกว่าจะได้รถ" และที่เข้าตาเข้าใจคนค้ารถยนต์อย่างวิญญูมากที่สุดก็คือ
ลูกค้าส่วนมากซื้อกันในระบบเงินผ่อน ซึ่งเป็นระบบที่ทำกำไรให้กับผู้ขายมากที่สุด
ทั้งนี้ทั้งนั้นลูกค้าที่มาจากทุกสารทิศในภาคอีสานจะนำเอาที่ดินมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันด้วย
โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์
และนี่เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้วิญญูกับมาลินได้ชื่อว่าเป็น "ราชาที่ดิน"
รายใหญ่รายหนึ่งของเมืองไทยในปัจจุบันโดยที่ดินที่ถือครองอยู่นั้นมากมายได้มาจากลูกค้าที่ขาดการผ่อนชำระ
และไม่อยู่ในวิสัยที่จะผ่อนปรนได้อีกต่อไป !!
"ตอนนั้นบริษัทมีพนักงานไม่กี่สิบคน ซึ่งหลายคนก็ยังเป็นลูกหม้อที่อยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ตอนที่เสี่ยตัดสินใจเลิกขายโตโยต้ามาเป็นอีซูซุนั้น เพราะทางอีซูซุบอกว่า
ให้เลือกเอาถ้าจะทำอีซูซุต้องเลิกโตโยต้า เสี่ยมองว่ารถอีซูซุมีรุ่นให้เลือกมากกว่าและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ในพื้นที่มากกว่า
ก็ไม่รู้ว่าตัดสินใจผิดหรือถูก ถ้าเลือกโตโยต้าอาจจะดีกว่าอีซูซุก็เป็นได้"
พนักงานเก่าแก่คนหนึ่งของโค้วยู่ฮะฯ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
"โดยหลักการแล้ว ผู้จำหน่ายอีซูซุแต่ละแห่งจะได้รับมอบหมายเขตการจำหน่ายที่แน่นอนเป็นสิทธิขาด
แต่ในกรณีของโค้วยู่ฮะนั้นเริ่มจากการเป็นผู้จำหน่ายอีซูซุโดยไม่มีเงื่อนไขชนิดไม่มีเขตจำหน่ายเป็นสิทธิขาด
มีการจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้ออื่นตามไปด้วย" มร.วาย โมริตะ ที่ปรึกษาบริษัทมิตซูบิชิ
คอร์ปอเรชั่น พูดถึงวิญญูและทางที่เลือกแล้วของโค้วยู่ฮะที่ต้องมีดีในตัวไม่เช่นนั้นคงไม่ได้สิทธิพิเศษเช่นนี้
จุดดีของโค้วยู่ฮะที่ญี่ปุ่นมองเห็นจนได้สิทธิพิเศษนั้นก็คือ วิญญูกล้ารับซื้อรถปิคอัพอีซูซุรุ่นที่กระบะหลังสั้นในสมัยยุคเริ่มแรก
ไม่เป็นที่นิยมของตลาดภูธรที่ต้องใช้บรรทุกสินค้าพืชผล แต่วิญญูรับซื้อทั้งหมด
แล้วนำไปขายให้เกษตรกรจนหมด ขณะที่ดีลเลอร์คนอื่น ๆ ไม่กล้าทำเช่นนี้
อหังการ์ในชีวิตของคนเราไม่เพียงแต่จะพึ่งพาความฉลาดหลักแหลม ความมีปฏิภาณไหวพริบเยี่ยมยอดพร้อมจะรุกและรับหรือพลิกแพลงข้อต่อรองทางธุรกิจในแต่ละช่วงเวลาให้ตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เป็นฐานรากแข็งแกร่งเท่านั้น หากบางครั้ง "ความกล้าได้กล้าเสีย"
เข้าทำนอง "บ้าดีเดือด" ชนิดลูกวัวไม่กลัวแม่เสือก็เป็นแรงหนุนเนื่องที่ทำให้พบความสำเร็จได้เช่นกัน
บุคลิกเช่นนี้ เถ้าแก่ลูกทุ่งทั้งหลายมีมากนักแล ยิ่งถ้าเพิ่มเติมความจัดเจนในศาสตร์ทางธุรกิจ
รู้จักจังหวะ และวิเคราะห์สภาพการณ์ทางการตลาดได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงด้วยแล้ว
ก็จะกลายเป็น "อาวุธ" อันแหลมคมในฉับพลัน
การเติบโตแบบทะลุกลางปล้องของ "โค้วยู่ฮะมอเตอร์" ในพื้นที่ภาคอีสานราวปี
2510 ที่สามารถทำยอดขายได้สูงสุดของประเทศหลายปีติดต่อกันจนต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
ที่ "โค้วยู่ฮะมอเตอร์" เป็นเอเยนต์นัมเบอร์วันของอีซูซุอย่างยากที่จะคลอนแคลนได้ง่าย
ๆ นั้นเกิดขึ้นเพราะ "ความกล้าได้กล้าเสีย" ของวิญญูเป็นที่ตั้ง
"คุณมาลินเป็นตัวตั้งตัวตีในการวิ่งหาเงินก้อนหลายร้อยล้านบาทมา เพื่อให้เสี่ยปล่อยให้กับลูกค้าที่มาซื้อรถ
โดยไม่ต้องมีเงินดาวน์ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ปรากฏว่ามีลูกค้าทั่วภาคอีสานมาเข้าคิวนับพัน
ๆ รายที่จะซื้อรถจากโค้วฯ จะว่าเสี่ยงก็เสี่ยงไม่น้อย เพราะการหมุนเงินหลายร้อยล้านมาเป็นเงินดาวน์ให้กับลูกค้า
หากมีรายการเบี้ยวก็ปิดฉากอย่างน่าเวทนา แต่โชคดีเป็นของเสี่ยงและเสี่ยเนี้ยที่ไม่มีปัญหา
หนี้สูญแทบจะไม่มีเลย หรือถ้ามีก็ยังมีที่ดินค้ำอยู่ ยุทธวิธีนี้ประสบผลสำเร็จอย่างสูงจนทำให้โค้วฯ
ขายรถได้สูงสุด 6-7 ปีติดต่อกัน ก็ต้องชมเชยความเป็นคนกล้าได้กล้าเสียของเสี่ย
และการหมุนเงินที่เก่งของเมีย" แหล่งข่าวในวงการค้ารถยนต์บอกกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
ความเป็นคนกล้าได้กล้าเสียของวิญญูอาจตรวจสอบได้อีกกับการเข้าไปเป็น "แกนหลัก"
ของสำนักงานประสานหอการค้าจังหวัดที่รวบรวมบรรดาหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร
์และยุทธวิธีพัฒนาโดยไม่อิงหอการค้าไทยมากเกินไป การก่อตั้ง "สำนักประสาน"
ที่สัมฤทธิ์ผลนั้นเป็นเพราะการทุ่มเทให้อย่างมากมายของวิญญูโดยเฉพาะเรื่องกำลังทรัพย์
ซึ่งวิญญูอุทิศพื้นที่ของอาคารโค้วยู่ฮะกรุงเทพให้เป็นที่ตั้งสำนักประสาน
ที่วิญญูสามารถซื้อหัวใจสมาชิกหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศได้อย่างแนบเนียนก็คือ
การแสดงออกถึงความไม่มักใหญ่ใฝ่สูงหรือต้องการตำแหน่งใด ๆ ในสำนักประสานฯ
อันรวมไปถึงการเข้าเรียน ปรอ.วปอ.ที่รู้จักกันดีว่าคิวต้น ๆ ในรุนแรกนี้เป็นของวิญญู
แต่เขาก็ยินดีหลีกทางให้คนอื่นได้เข้าไปเรียนแทน การเดินหมากอย่างชาญฉลาดเช่นนี้ส่งผลให้วิญญูเป็นที่เกรงใจของเถ้าแก่ลูกค้าทั้งมวล
"การทำงานอย่างทุ่มเทของวิญญู ทำให้โค้วยู่ฮะขยายกิจการเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ แม้จะมีปริมาณงานมากก็ตาม แต่ก็ไม่มีฐานการเงินที่มั่นคงพอที่จะสนับสนุนกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้าพเจ้าจึงได้ปรึกษากับคุณปิยะ ศิวะยาธร กรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ และแนะนำให้กับคุณวิญญูกับคุณมาลินรู้จักในเวลาต่อมา
ในที่สุดธนาคารกรุงเทพและบริษัทมิตซูบิชิก็ได้ร่วมกันให้โค้วยู่ฮะกู้เงินซื้อที่ดินหลายสิบไร่
เพื่อสร้างโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และเป็น 1 ใน 2 ของโชว์รูมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย" มร.วาย โมริตะ
ที่ปรึกษาของบริษัทมิตซูบิชิ กล่าวถึงการให้การช่วยเหลือวิญญูที่พื้นฐานความกล้าได้กล้าเสียในการทำตลาดของเขาทำให้ทุกคนต้องเชื่อมั่นว่า
"วิญญูคงไม่ทำให้ผิดหวัง"
ในโลกนี้ การทำธุรกิจมี 2 ฉากใหญ่ ฉากแรกคือการซื้อมาขายไป ซื้อถูกขายแพง
ฟันกำไรเนื้อ ๆ ส่วนอีกฉากหนึ่งเป็นเรื่องของการลงทุนเป็นโลกของอุตสาหกรรมที่นวัตกรรม
(INNOVAITON) อะไรต่อมิอะไรอาจไม่เห็นผลคุ้มค่าในเสี้ยวปีหรือสองปี แต่เมื่อคืนทุนก็นอนหลับได้สบาย
ๆ การเติบโตและขยายตัวอย่างน่าจับตามอง "โค้วยู่ฮะกรุ๊ป" ภายใต้การบัญชางานของวิญญูที่ไปยังธุรกิจหลายแขนงนั้น
หากพิจารณาผิวเผินดูเหมือนจะเห็นว่าวิญญูและโค้วยู่ฮะกรุ๊ปเริ่มที่จะให้ความสนใจต่อการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นโครงการตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ การดำเนินโครงการนิคมอุตสาหกรรม
การจัดตั้งเมืองอิเลคทรอนิกส์ เป็นต้น
ทว่า ถ้าติดตามการเคลื่อนไหวและวิเคราะห์กันลึกซึ้งยังพบ "ความจริง"
ที่เป็น "แก่นแท้" ในการทำธุรกิจของวิญญูและโค้วยู่ฮะกรุ๊ปได้ว่า
"ที่สุดของที่สุดเขายังสลัดไม่หลุดไปจากฉากแรกของโลกธุรกิจแบบซื้อมาขายไป"
ตัวอย่างความใฝ่ฝันที่จะไปเจิดจรัสในโลกอุตสาหกรรมของวิญญูและโค้วยู่ฮะกรุ๊ปที่ยังไม่ขยับไปได้สักกี่ช่วง
หรือดูเหมือนว่าอาจจะเป็น "ฝันกลางแดด" ไปเสียแล้ว ดูง่าย ๆ ก็จากโครงการจัดตั้ง
"เมืองอิเล็กทรอนิกส์" ที่ขอนแก่น ซึ่งมีแผนงานที่จะร่วมกับสวิสฯ
โดยจะจัดตั้งบริษัทโค้ววอชช์ขึ้นมา ซึ่งหลังจากที่หมดเงินไปชั้นต้นหลายสิบล้านบาท
โครงการก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างจนในที่สุดทางสวิสฯได้ถอนตัวออกมา และหันไปร่วมกับสหพัฒน์ฯ
แทนและโรงงานผลิตก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว
ถ้าความรู้สึกนึกคิดของวิญญูจะเป็นเช่นนี้มันก็ไม่ผิดที่เขาจะเลือกเดินทางสายเก่าต่อไป
เพียงแต่การสร้างภาพพจน์สู่โลกอุตสาหกรรมที่อาจหวังผลต่อราคาหุ้นในตลาดนั้นคงเป็นเรื่องที่ต้องตามไปพิสูจน์ให้เห็นชัด
ๆ
"ท่านเป็นคนเข้าใจอะไรเร็ว และ NICE PERSONALITY เป็น PURELY MARKETING
ที่ทุกคนต้องยกนิ้วให้ ท่านเป็น TRADER ที่เก่งจริง ๆ แต่ท่านไม่ได้เป็น
INDUSTRIALIST ยังไม่เข้าใจงานด้าน MANAGEMENT ของโลกอุตสาหกรรมที่ดีพอ ทั้ง
ๆ ที่ความพร้อมมีอยู่แล้ว ซึ่งถ้าแก้ไขข้อนี้ได้โค้วยู่ฮะคงไปโลก" คนที่เคยร่วมงานกับโค้วยู่ฮะกรุ๊ปรายหนึ่งบอกกล่าวกับ
"ผู้จัดการ"
แต่ในเรื่องเดียวกันนี้ ถ้าจะมองความพยายามของวิญญูวันนี้ที่อายุ 58 ปีแล้วที่ดึงเอาผู้เชี่ยวชาญมาร่วมงานอยู่บ่อยครั้ง
แต่ว่าแต่ละชุดกลับมีอายุงานไม่นานนักจนทำให้มองกันไปได้ว่า "วิญญูไม่พร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงของการก้าวไปสู่โลกอุตสาหกรรมที่แท้จริง"
แต่ลูกหม้อคนหนึ่งของโค้วยู่ฮะได้ให้เหตุผลเชิงคัดค้านกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
ว่า
"กว่าที่จะถึงวันนี้ได้ ต้องไม่ลืมว่าเสี่ยผ่านบทเรียนมากี่มากน้อย
เคยเจ็บมาแล้วเท่าไหร่กับใครหลาย ๆ คน โดยตัวเสี่ยแล้วยินดีที่จะรับฟังความคิดเห็นของทุกคน
แต่จะปักใจเชื่อหรือยอมเดินตามชนิดไม่มีข้อโต้แย้งเลยนั้น แกถือว่า "ความซื่อสัตย์"
เป็นตัวช่วยตัดสินใจ ความสามารถยังมองเป็นอันดับสอง ผิดกับบริษัทอื่น ๆ เพราะเราคนจีนต้องถือความซื่อสัตย์หรือเหลาซิกมาเป็นอันดับหนึ่ง"
นี่เป็นอีกวัตรปฏิวัติหนึ่งในการทำงานของ "โค้วยู่ฮะกรุ๊ป" ซึ่งเส้นแบ่งของความซื่อสัตย์กับการกล้าได้กล้าก้าวขยับย่างสู่โลกอุตสาหกรรม
บางทีอาจเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันเลยก็เป็นได้ !!!